วันอังคารที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2554

บทที่ 13 กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศและอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์

กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ
ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศ เข้ามามีบทบาทต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์อย่างยิ่ง เช่น การศึกษา การค้าขาย บันเทิง อุตสาหกรรม การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านการค้า ต้องสร้างความเชื่อมั่น ดังนั้น เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2541 คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเห็นชอบ ให้จัดทำโครงการกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ หรือที่เรียกว่า คณะกรรมการ ไอทีแห่งชาติ หรือ กทสช. ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางและประสานงานระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่กำลังดำเนินการจัดทำกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศและกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องโดยมีศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือที่เรียกว่า เนคเทค สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติหรือ สวทช. กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม ในฐานะสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการไอทีแห่งชาติ ทำหน้าที่เป็นเลขานุการในการยกร่างกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศทั้ง 6 ฉบับ ดังต่อไปนี้
1.กฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
2.กฎหมายลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์
3.กฎหมายอาชญากรรมคอมพิวเตอร์
4.กฎหมายเกี่ยวกับการโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์
5.กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล
6.กฎหมายลำดับรองของรัฐธรรมนูญ มาตรา 78 ว่าด้วยการเข้าถึงโครงสร้างพื้นฐานสาระสนเทศอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน

อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ก่อให้เกิดความสะดวกในการใช้งาน และเป็นการเปิดโลกกว้างในการสื่อสารของโลกยุคปัจจุบัน จนเป็นที่ยอมรับกันอย่างแพร่หลาย แต่อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีเหล่านี้ มีทั้งจุดเด่นและจุดด้อยอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมายบนโลกของการสื่อสาร หรือแม้แต่ก่อให้เกิดอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ เป็นปัญหาหลักที่นับว่ายิ่งมีความรุนแรงและหลากหลายรูปแบบเพิ่มมากขึ้น ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตจะเป็นแหล่งสำคัญที่จะถูกโจมตีได้ง่าย และมีปัญหามากที่สุดคือไวรัสคอมพิวเตอร์ ส่วนมากจะถูกเผยแพร่มาจากระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน นับเป็นปัญหาใหญ่สำหรับหน่วยงานทุกหน่วยงานที่นำระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมาใช้งาน ดังนั้นทุกหน่วยงานจึงต้องตระหนักในปัญหานี้ และต้องหาทางป้องกันภัยที่เกิดขึ้นในรูปแบบต่างๆจึงควรจะมีผู้เชี่ยวชาญด้านรักษาความปลอดภัย พร้อมกันนี้จะต้องมีซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการถูกโจมตีจากกลุ่มผู้ไม่หวังดีทั้งหลายนั้น เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขอ งหน่วยงาน จะต้องมีการปรับปรุงระบบรักษาความปลอดภัยให้ทันสมัยอย่างสม่ำเสมอ ระบบการโจมตีที่พบบ่อยๆได้แก่
1.Hacker คือ ผู้ที่มีความสนใจด้านคอมพิวเตอร์ที่ลึกลงไปในส่วนของระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์
2.Cracker คือ บุคคลที่บุกรุกเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่น เพื่อทำลายข้อมูลที่สำคัญ ทำให้เกิดปัญหาในระบบคอมพิวเตอร์ของกลุ่มเป้าหมาย
3.Phoneker คือกลุ่มบุคคลที่จัดอยู่ในพวก Cracker โดยมีลักษณะของการกระทำทางด้านโทรศัพท์และการติดต่อสื่อสารผ่านตัวกลางต่างๆเพียงอย่างเดียวโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการใช้โทรศัพท์ฟรี หรือแอบดักฟังโทรศัพท์เท่านั้น
4.Buffer Overflow เป็นรูปแบบการโจมตีที่ง่ายที่สุด แต่ทำอันตรายให้กับระบบได้มากที่สุด โดยอาชญากรจะอาศัยจุดอ่อนของระบบปฏิบัติการ คอมพิวเตอร์ และขีดจำกัดของทรัพยากรระบบมาใช้ในการจู่โจม เมื่อมีการส่งคำสั่งให้เครื่องแม่ข่ายเป็นปริมาณมากๆในเวลาเดียวกันจะส่งผลให้เครื่องไม่สามารถปฏิบัติงานได้ตามปกติหน่วยความจำไม่เพียงพอจนกระทั่งเกิดการแฮงค์ของระบบ
5.Backdoors
6.CGI Script
7.Hidden HTML
8.Failing to Update
9.Illegal Browsing
10.Malicious Scipts
11.Poison Cookies
12.ไวรัสคอมพิวเตอร์
13.บุคลากรในหน่วยงานที่ลาออกหรือถูกให้ออกจากงาน

วิธีการประกอบอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
1. Data Diddling คือ การเปลี่ยนแปลงข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือระหว่างที่กำลังบันทึกข้อมูลในระบบคอมพิวเตอร์ การเปลี่ยนแปลงข้อมูลดังกล่าวนี้สามารถกระทำโดยบุคคลที่สามารถเข้าถึงตัวข้อมูลได้ เช่น พนักงานที่มีหน้าที่บันทึกเวลา
การทำงานของพนักงานทั้งหมด ทำการแก้ไขตัวเลขชั่วโมงการทำงานของคนอื่นมาเป็นชั่วโมงการทำงานของตนเอง เป็นต้น
2. Trojan Horse คือ การเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่แฝงไว้ในโปรแกรมที่มีประโยชน์ เมื่อถึงเวลาโปรแกรมที่ไม่ดีจะปรากฏตัวขึ้นเพื่อปฏิบัติการทำลายข้อมูล วิธีนี้มักจะใช้กับการฉ้อโกงทางคอมพิวเตอร์ หรือการทำลายล้างข้อมูล หรือระบบคอมพิวเตอร์
3. Salami Techniques คือ วิธีการปัดเศษจำนวนเงิน เช่น ทศนิยมตัวที่ 3 หรือปัดเศษทิ้งให้เหลือแต่จำนวนเงินที่จ่ายได้ และจะทำให้ผลรวมของบัญชียังคงสมดุล (Balance) และจะไม่มีปัญหากับระบบควบคุมเนื่องจากไม่มีการนำเงินออกจากระบบบัญชี นอกจากใช้กับการปัดเศษเงินแล้ววิธีนี้อาจใช้กับระบบการตรวจนับของในคลังสินค้า

4. Super zapping มาจากคำว่า Super zap เป็นโปรแกรม Macro Utility ที่ใช้เป็นศูนย์คอมพิวเตอร์ของบริษัท IBM เพื่อใช้เป็นเครื่องมือของระบบ (System Tool) ทำให้สามารถเข้าไปในระบบคอมพิวเตอร์ได้ในกรณีฉุกเฉินเสมือนกุญแจดอกอื่นหายหรือมีปัญหา โปรแกรมอรรถประโยชน์ (Utility Program) เช่นโปรแกรม Super zapจะมีความเสี่ยงมากหากตกไปอยู่ในมือผู้ที่ไม่หวังดี
5. Trap Doors เป็นการเขียนโปรแกรมที่เลียนแบบคล้ายหน้าจอปกติของระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อลวงผู้ที่มาใช้คอมพิวเตอร์ ทำให้ทราบถึงรหัสประจำตัว (ID Number) หรือรหัสผ่าน (Password) โดยโปรแกรมนี้จะเก็บข้อมูลที่ต้องการ ไว้ในไฟล์ลับ
6. Logic Bombs เป็นการเขียนโปรแกรมที่มีคำสั่งอย่างมีเงื่อนไขไว้ โดยโปรแกรมจะเริ่มทำงานต่อเมื่อมีสภาวะ หรือสภาพการณ์ ตามที่ผู้สร้างโปรแกรมกำหนด สามารถใช้ติดตามดูความเคลื่อนไหวของระบบบัญชี ระบบเงินเดือนแล้วทำการเปลี่ยนแปลงตัวเลขดังกล่าว
7. Asynchronous Attack เนื่องจากการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์เป็นการทำงานแบบ Asynchronous คือสามารถทำงานหลาย ๆ อย่างพร้อมกัน โดยการประมวลผลข้อมูลเหล่านั้นจะเสร็จไม่พร้อมกัน ผู้ใช้งานจะทราบว่างานที่ประมวลผลเสร็จหรือไม่ก็ต่อเมื่อเรียกงานนั้นมาดู ระบบดังกล่าวก่อให้เกิดจุดอ่อน ผู้กระทำความผิดจะฉวยโอกาสในระหว่างที่เครื่องกำลังทำงาน เข้าไปแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือกระทำการอื่นใดโดยที่ผู้ใช้ไม่ทราบว่ามีการกระทำผิดเกิดขึ้น
8. Scavenging คือ วิธีการที่จะได้ข้อมูลที่ทิ้งไว้ในระบบคอมพิวเตอร์ หรือบริเวณใกล้เคียงหลังจากเสร็จการใช้งานแล้ววิธีที่ง่ายที่สุด คือ ค้นหาตามถังขยะที่อาจมีข้อมูลสำคัญไม่ว่าจะเป็นเบอร์โทรศัพท์ หรือรหัสผ่านหลงเหลืออยู่ หรืออาจใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อนทำการหาข้อมูลที่อยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ เมื่อผู้ใช้เลิกงานแล้ว
9. Data Leakage คือ การทำให้ข้อมูลรั่วไหลออกไป อาจโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจก็ตาม เช่น การแผ่รังสีของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ในขณะที่กำลังทำงานคนร้ายอาจตั้งเครื่องดักสัญญาณไว้ใกล้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เมื่อผู้ใช้เลิกใช้งาน
10. Piggybacking วิธีการนี้สามารถทำได้ทางกายภาพ (Physical) คือ การที่คนร้ายจะลักลอบเข้าไปในประตูที่มีระบบรักษาความปลอดภัย คนร้ายจะรอให้บุคคลที่มีอำนาจหรือได้รับอนุญาตมาใช้ประตูดังกล่าว เมื่อประตูเปิดและบุคคลนั้นได้เข้าไปคนร้ายก็ฉวยโอกาสตอนที่ประตูยังปิดไม่สนิทแอบเข้าไปได้ ในทางอิเล็กทรอนิกส์ก็เช่นเดียวกัน อาจเกิดในกรณีที่ใช้สายสื่อสารเดียวกับผู้ที่มีอำนาจใช้ หรือได้รับอนุญาต เช่น ใช้สายเคเบิล หรือโมเด็มเดียวกัน
11. Impersonation คือ การที่คนร้ายแกล้งปลอมเป็นบุคคลอื่นที่มีอำนาจ หรือได้รับอนุญาต เช่น เมื่อคนร้ายขโมยบัตรเอทีเอ็มของเหยื่อได้ก็จะโทรศัพท์และแกล้งทำเป็นเจ้าพนักงานของธนาคาร และแจ้งให้เหยื่อทราบว่ากำลังหาวิธีการป้องกันไม่ให้เงินในบัญชีของเหยื่อสูญหายจึงบอกให้เหยื่อเปลี่ยนรหัสผ่าน โดยให้เหยื่อบอกรหัสเดิมก่อน คนร้ายจึงทราบหมายเลขรหัสและได้เงินของเหยื่อไป
12. Wiretapping เป็นการลักลอบดักฟังสัญญาณการสื่อสารโดยเจตนาที่จะได้รับประโยชน์จากการเข้าถึงข้อมูลผ่านเครือข่ายการสื่อสาร หรือที่เรียกว่าโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศโดยการกระทำความผิดดังกล่าวกำลังเป็นที่หวาดวิตกกับผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างมาก
13. Simulation and Modeling ในปัจจุบันคอมพิวเตอร์ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการวางแผนการควบคุมและติดตามความเคลื่อนไหวในการประกอบอาชญากรรม และกระบวนการดังกล่าวก็สามารถใช้โดยอาชญากร ในการสร้างแบบจำลองในการวางแผน เพื่อประกอบอาชญากรรมได้เช่นกัน เช่น ในกิจการประกันภัยมีการสร้างแบบจำลองในการปฏิบัติการ หรือ ช่วยในการตัดสินใจ ในการทำกรมธรรม์ประกันภัย โปรแกรมสามารถทำกรมธรรม์ประกันภัยปลอมขึ้นมาเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้บริษัทประกันภัยจริงล้มละลาย เมื่อถูกเรียกร้องให้ต้องจ่ายเงินให้กับกรมธรรม์ที่ขาดการต่ออายุ หรือกรมธรรม์ที่มีการจ่ายเงินเพียงการบันทึก (จำลอง) ไม่ได้รับเบี้ยประกันจริง หรือต้องจ่ายเงินให้กับกรมธรรม์ที่เชื่อว่ายังไม่ขาดอายุ

ประเภทของอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
1. พวกมือใหม่หรือมือสมัครเล่น อยากทดลองความรู้ และส่วนใหญ่จะไม่ใช่ผู้ที่เป็นอาชญากรโดยนิสัย ไม่ได้ดำรงชีพโดยการกระทำความผิด
2. นักเจาะข้อมูล ผู้ที่เจาะข้อมูลระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น พยายามหาความท้าทายทางเทคโนโลยี เข้าไปในเครือข่ายของผู้อื่นโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต
3. อาชญากรในรูปแบบเดิมที่ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ เช่น พวกลักเล็กขโมยน้อยที่พยายามขโมยบัตรเอทีเอ็ม ของผู้อื่น
4. อาชญากรมืออาชีพ คนพวกนี้จะดำรงชีพจากการกระทำความผิด เช่น พวกที่มักจะใช้ความรู้ทางเทคโนโลยีฉ้อโกงสถาบันการเงิน หรือการจารกรรมข้อมูลไปขาย เป็นต้น
5. พวกหัวรุนแรงคลั่งอุดมการณ์หรือลัทธิ มักก่ออาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์เพื่ออุดมการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจศาสนา หรือสิทธิมนุษยชน เป็นต้น


ความเสียหายที่เกิดขึ้นจากอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์นั้นคงจะไม่ใช่มีผลกระทบเพียงแต่ความมั่นคงของบุคคลใด บุคคลหนึ่งเพียงเท่านั้น แต่ยังมีผลกระทบไปถึงเรื่องความมั่นคงของประเทศชาติเป็นการส่วนรวม ทั้งความมั่นคงภายใน และภายนอกประเทศ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับข่าวกรอง หรือการจารกรรมข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศซึ่งในปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบไปจากเดิมเช่น
1. ในปัจจุบันความมั่นคงของรัฐนั้นมิใช่จะอยู่ในวงการทหารเพียงเท่านั้น บุคคลธรรมดาก็สามารถป้องกัน หรือทำลายความมั่นคงของประเทศได้
2. ในปัจจุบันการป้องกันประเทศอาจไม่ได้อยู่ที่พรมแดนอีกต่อไปแล้ว แต่อยู่ที่ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้มีการคุกคาม หรือทำลายโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ
3. การทำจารกรรมในสมัยนี้มักจะใช้วิธีการทางเทคโนโลยีที่ซับซ้อนเกี่ยวกับเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์

บนโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ ความผิดต่าง ๆ ล้วนแต่สามารถเกิดขึ้นได้ เช่น การจารกรรม การก่อการร้าย การค้า ยาเสพติด การแบ่งแยกดินแดน การฟอกเงิน การโจมตีระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานของประเทศที่มีระบบคอมพิวเตอร์ควบคุมเช่น ระบบจราจร หรือระบบรถไฟฟ้า เป็นต้น ซึ่งทำให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ ความมั่นคงของประเทศ และโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศของชาติ เป็นเรื่องที่ไม่สามารถแยกจากกันได้อย่างเด็ดขาด การโจมตีผ่านทางระบบโครงสร้างพื้นฐานสารสนเทศ สามารถทำได้ด้วยความเร็วเกือบเท่ากับการเคลื่อนที่ความเร็วแสง ซึ่งเหนือกว่าการเคลื่อนทัพทางบก หรือการโจมตีทางอากาศ

มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์
มาตรการด้านเทคโนโลยี
เป็นการต่อต้านอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์โดยผู้ใช้สามารถใช้หรือติดตั้งเทคโนโลยีต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน อาทิ การติดตั้งระบบการตรวจจับการบุกรุก (Intrusion Detection) หรือการติดตั้งกำแพงไฟ (Firewall) เพื่อป้องกันหรือรักษาคอมพิวเตอร์ของตนให้มีความ ปลอดภัย ซึ่งนอกเหนือจากการติดตั้งเทคโนโลยีแล้วการตรวจสอบเพื่อประเมินความเสี่ยง อาทิ การจัดให้มีระบบวิเคราะห์ความเสี่ยงและการให้การรับรอง (Analysis Risk and Security Certification) รวมทั้งวินัยของ ผู้ปฏิบัติงานก็เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องได้รับการปฏิบัติอย่างเคร่งครัดและสม่ำเสมอ มิเช่นนั้นการติดตั้งเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพเพื่อใช้ในการป้องกันปัญหาดังกล่าวก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใด
มาตรการด้านกฎหมาย
มาตรการด้านกฎหมายเป็นนโยบายของรัฐบาลไทยประการหนึ่งที่นำมาใช้ในการต่อต้านอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ โดยการบัญญัติหรือตรากฎหมายเพื่อกำหนดว่าการกระทำใดบ้างที่มีโทษทางอาญา ในปัจจุบัน ประเทศไทยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายฉบับดังนี้
กฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ
กฎหมายอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ หรือร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ พ.ศ. …. ซึ่งขณะนี้เป็นกฎหมายหนึ่งในหกฉบับที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของโครงการพัฒนากฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยมีสาระสำคัญของกฎหมายแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนหลัก คือ
ก) การกำหนดฐานความผิดและบทลงโทษเกี่ยวกับการกระทำที่เป็นอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ เช่น ความผิดเกี่ยวกับการเข้าถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือระบบคอมพิวเตอร์โดยไม่มีอำนาจ (Illegal Access) ความผิดฐานลักลอบดักข้อมูลคอมพิวเตอร์(Illegal Interception) หรือ ความผิดฐานรบกวนข้อมูลคอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์โดยมิชอบ (Interferencecomputer data and computer system) ความผิดฐานใช้อุปกรณ์ในทางมิชอบ (Misuse of Devices) เป็นต้น
ข) การให้อำนาจพิเศษแก่เจ้าพนักงานในการปราบปรามการกระทำความผิด นอกเหนือเพิ่มเติมไปจากอำนาจโดยทั่วไปที่บัญญัติไว้ในกฎหมายอื่นๆ อาทิ การให้อำนาจในการสั่งให้ถอดรหัสข้อมูลคอมพิวเตอร์ อำนาจในการเรียกดูข้อมูลจราจร (trafficdata) หรือ อำนาจค้นโดยไม่ต้องมีหมายในบางกรณี
(2) กฎหมายอี่นที่เกี่ยวข้อง
นอกเหนือจากกฎหมายอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนต้นแล้ว ปัจจุบันมีกฎหมายอีกหลายฉบับทั้งที่ตราขึ้น
ใช้บังคับแล้ว และที่อยู่ระหว่างกระบวนการตรานิติบัญญัติ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการป้องกันหรือปราบปรามอาชญากรรม
ทางคอมพิวเตอร์ อาทิ
ก) พระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2544 มาตรา 74 ซึ่งกำหนดฐานความผิดเกี่ยวกับการดักรับไว้ หรือใช้ประโยชน์ หรือเปิดเผยข้อความข่าวสาร หรือข้อมูลอื่นใดที่มีการสื่อสารโทรคมนาคมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ข) กฎหมายอื่นที่อยู่ระหว่างการดำเนินการ ได้แก่
ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (กำหนดความผิดเกี่ยวกับบัตรอิเล็กทรอนิกส์)โดยเป็นการกำหนดฐานความผิดเกี่ยวกับการปลอมหรือแปลงบัตรอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนกำหนดฐานความผิดเกี่ยวกับการใช้ มีไว้เพื่อใช้ นำเข้า หรือส่งออก การจำหน่ายซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมหรือแปลง และลงโทษบุคคลที่ทำการผลิต หรือมีเครื่องมือในการผลิตบัตรดังกล่าว ปัจจุบันกฎหมายฉบับนี้ได้ผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีและอยู่ระหว่างเตรียมนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร
ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. (เกี่ยวกับการส่งสำเนาหมายอาญาทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์) โดยเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติเกี่ยวกับการส่งสำเนาหมายอาญาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์และสื่อสารสนเทศอื่นๆ ปัจจุบันกฎหมายฉบับนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญสภาผู้แทนราษฎร
ร่างพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. …. ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการร่วม รัฐสภา
มาตรการด้านความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน
นอกเหนือจากมาตรการทางเทคโนโลยีที่ผู้ใช้ต้องดำเนินการ หรือมาตรการทางกฎหมายที่รัฐบาลต้องผลักดันกฎหมายต่างๆ แล้วมาตรการสำคัญอีกประการหนึ่งที่จะช่วยให้การป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์สัมฤทธิ์ในทางปฏิบัติได้นั้น คือมาตรการด้านความร่วมมือกับระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชนซึ่งมิได้จำกัดเพียงเฉพาะหน่วยงานที่มีหน้าที่ตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงหน่วยงานอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นในด้านของผู้พัฒนาระบบหรือผู้กำหนดนโยบายก็ตาม
นอกเหนือจากความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ แล้วสิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือความจำเป็นที่จะต้องมีหน่วยงานด้านความปลอดภัยของเครือข่ายเพื่อรับมือ กับปัญหาฉุกเฉินด้านความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ขึ้นโดยเฉพาะ และเป็นศูนย์กลางคอยให้ค วามช่วยเหลือในด้านต่างๆ รวมทั้งให้คำปรึกษาถึงวิธีการหรือแนวทางแก้ไข ซึ่งปัจจุบันศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือเนคเทค ได้จัดตั้งศูนย์ประสานงานการรักษาความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ประเทศไทย (Thai ComputerEmergency Response Team / ThaiCERT) เพื่อเป็นหน่วยงานให้ความช่วยเหลือและให้ข้อมูลทางวิชาการเกี่ยวกับการ ตรวจสอบและการรักษาความปลอดภัยคอมพิวเตอร์แก่ผู้ที่สนใจทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งเป็นหน่วยงานรับแจ้งเหตุกรณีที่มีการละเมิดความปลอดภัยคอมพิวเตอร์เกิดขึ้น
มาตรการทางสังคมในการแก้ปัญหาเฉพาะของประเทศไทย
สืบเนื่องจากในปัจจุบันปรากฏข้อเท็จจริงพบว่า สังคมไทยกำลังเผชิญกับปัญหาการใช้อินเทอร์เน็ตไปในทางไม่ชอบหรือฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมาย ทั้งโดยการเผยแพร่เนื้อหาอันไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นสื่อลามกอนาจาร ข้อความหมิ่นประมาท การชักจูงล่อลวง หลอกลวงเด็กและเยาวชนไปในทางที่เสียหาย หรือพฤติกรรมอื่นอันเป็นภัยต่อสังคม โดยคาดการณ์ว่าการกระทำหรือพฤติกรรมดังกล่าวมีสัดส่วนเพิ่มสูงขึ้นตามสถิติเพิ่มขึ้นของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต อันส่งผลกระทบต่อเด็กและเยาวชนไทย โดยปัญหาดังกล่าวอยู่ในความสนใจของสังคมไทยเป็นอย่างมาก ดังนั้น หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนจึงได้เร่งรณรงค์ในการป้องกันปัญหาดังกล่าวร่วมกันเพื่อดูแลและปกป้องเด็กและเยาวชนจากผลกระทบข้างต้น
พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2550 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 เป็นต้นไป โดยได้บัญญัติให้การกระทำที่เป็นความผิดและการกำหนดบทลงโทษไว้ในหมวด 1 ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ตั้งแต่มาตรา 5 ถึงมาตรา 16 กำหนดองค์ประกอบความผิดและบทลงโทษดังนี้
มาตรา ๕ ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สําหรับตน ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๖ ผู้ใดล่วงรู้มาตรการป้องกันการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่ผู้อื่นจัดทําขึ้นเป็นการเฉพาะ ถ้านํามาตรการดังกล่าวไปเปิดเผยโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๗ ผู้ใดเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะ และมาตรการนั้นมิได้มีไว้สําหรับตน ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๘ ผู้ใดกระทําด้วยประการใดโดยมิชอบด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อดักรับไว้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นที่อยู่ระหว่างการส่งในระบบคอมพิวเตอร์ และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้น มิได้มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะหรือเพื่อให้บุคคลทั่วไปใช้ประโยชน์ได้ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน สามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๙ ผู้ใดทําให้เสียหาย ทําลาย แก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมด หรือบางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกิน หนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๑๐ ผู้ใดกระทําด้วยประการใดโดยมิชอบ เพื่อให้การทํางานของระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ถูกระงับ ชะลอ ขัดขวาง หรือรบกวนจนไม่สามารถทํางานตามปกติได้ต้องระวางโทษจําคุก ไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๑๑ ผู้ใดส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์แก่บุคคลอื่นโดยปกปิด หรือปลอมแปลงแหล่งที่มาของการส่งข้อมูลดังกล่าว อันเป็นการรบกวนการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ของ บุคคลอื่นโดยปกติสุข ต้องระวางโทษปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท
มาตรา ๑๒ ถ้าการกระทําความผิดตามมาตรา ๙ หรือมาตรา ๑๐
(๑) ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน ไม่ว่าความเสียหายนั้นจะเกิดขึ้นในทันที หรือในภายหลัง และไม่ว่าจะเกิดขึ้นพร้อมกันหรือไม่ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสิบปีและปรับไม่เกินสองแสนบาท
(๒) เป็นการกระทําโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือระบบ คอมพิวเตอร์ที่เกี่ยวกับการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ความปลอดภัยสาธารณะ ความมั่นคง ในทางเศรษฐกิจของประเทศ หรือการบริการสาธารณะ หรือเป็นการกระทําต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ หรือระบบคอมพิวเตอร์ที่มีไว้เพื่อประโยชน์สาธารณะ ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หกหมื่นบาทถึงสามแสนบาท
ถ้าการกระทําความผิดตาม (๒) เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจําคุกตั้งแต่สิบปีถึงยี่สิบปี
มาตรา ๑๓ ผู้ใดจําหน่ายหรือเผยแพร่ชุดคําสั่งที่จัดทําขึ้นโดยเฉพาะเพื่อนําไปใช้เป็นเครื่องมือ ในการกระทําความผิดตามมาตรา ๕ มาตรา ๖ มาตรา ๗ มาตรา ๘ มาตรา ๙ มาตรา ๑๐ หรือมาตรา ๑๑ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
มาตรา ๑๔ ผู้ใดกระทําความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
(๑) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
(๒) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิด ความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความตื่นตระหนกแก่ประชาชน
(๓) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง แห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา
(๔) นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามก และข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้
(๕) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (๑) (๒) (๓) หรือ(๔)
มาตรา ๑๕ ผู้ให้บริการผู้ใดจงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มี การกระทําความผิดตามมาตรา ๑๔ ในระบบคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในความควบคุมของตน ต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทําความผิดตาม มาตรา ๑๔
มาตรา ๑๖ ผู้ใดนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูล คอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด ทั้งนี้โดยประการที่น่าจะทําให้ผู้อื่นนั้น เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ
ถ้าการกระทําตามวรรคหนึ่ง เป็นการนําเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยสุจริต ผู้กระทําไม่มีความผิด
ความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้
ถ้าผู้เสียหายในความผิดตามวรรคหนึ่งตายเสียก่อนร้องทุกข์ ให้บิดา มารดา คู่สมรส หรือบุตรของผู้เสียหายร้องทุกข์ได้ และให้ถือว่าเป็นผู้เสียหาย

จริยธรรมคอมพิวเตอร์
จริยธรรมคอมพิวเตอร์ คือ หลักศีลธรรมจรรยาที่กำหนดขึ้น เพื่อใช้เป็นแนวทางปฏิบัติหรือควบคุมการใช้ระบบคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศ

ตัวอย่างการกระทำผิดจริยธรรมคอมพิวเตอร์
1. การใช้คอมพิวเตอร์ทำร้ายผู้อื่นให้เกิดความเสียหายหรือก่อความรำคาญ
2. การใช้คอมพิวเตอร์ในการขโมยข้อมูล
3. การเข้าถึงข้อมูลหรือคอมพิวเตอร์ของบุคคลอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต
4. การละเมิดลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์

ขอบเขตของจริยธรรมคอมพิวเตอร์มี 4 ประเด็น
1. ความเป็นส่วนตัว (Information Privacy)
เช่น แอบดูเมล เก็บบันทึกจราจร ข้อมูลลูกค้า หรือ Single Sign On
2. ความถูกต้อง (Information Accuracy)
เช่น Bank Grade Wiki Blog
3. ความเป็นเจ้าของ (Intellectual Property)
เช่น ทรัพย์ที่จับต้องและจับต้องไม่ได้ การคุ้มครองสิทธิ
4. การเข้าถึงข้อมูล (Data Accessibility)
เช่น DoS Security Bandwidth Priority Method

บทที่ 12 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในทางธุรกิจ

พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic commerce) หรือ อี-คอมเมิร์ช (E-Commerce) หมายถึง การทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในทุกๆ ช่องทางที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์เช่น การซื้อขายสินค้าและบริการ การโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์, โทรทัศน์, วิทยุ, หรือแม้แต่อินเทอร์เน็ต เป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดค่าใช้จ่าย และเพื่มประสิทธิภาพขององค์กร โดยการลดบทบาทของความสำคัญขององค์ประกอบทางธุรกิจลง เช่น ทำเลที่ตั้ง อาคารประกอบการ โกดังเก็บสินค้า ห้องแสดงสินค้า รวมถึงพนักงานขาย พนักงานแนะนำสินค้า พนักงานต้อนรับลูกค้าเป็นต้น ดังนั้นจึงลดข้อจำกัดของระยะทางและเวลา ในการทำธุรกรรมลงได้
ตัวอย่างเช่น นายสมชายเปิดร้านขายสินค้าโอท็อป ผ่านทางอินเทอร์เน็ต ทำให้ลูกค้าที่อยู่ต่างประเทศ สามารถเข้ามาดูตัวอย่างสินค้า และติดต่อซื้อขายกันได้ โดยผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์
เทคโนโลยีสารสนเทศที่รุดหน้า ทั้งระบบโทรคมนาคม ระบบคอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ต ทำให้การสื่อสารกันเป็นไปได้โดยง่าย และสามารถเข้าถึงผู้ใช้บริการได้หลายระดับ อีกทั้งยังสามารถโต้ตอบกันได้ทันที ทำให้สามารถเสนอธุรกรรมที่หลากหลาย เช่น การชื้อขาย การบริการหลังการขาย การโอนเงินชำระค่าบริการสินค้า การขนส่ง เป็นต้น โดยมีกฎหมายธุรกรรมพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และกฎหมายลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ เข้ามาคุ้มครองเรื่องความปลอดภัย

พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย
สำนักงานผู้แทนการค้าของสหรัฐอเมริกา (United States Trade Representative : USTR) ได้จัดทำรายงานประเมินปัญหา และอุปสรรคทางการค้าของประเทศคู่ค้าสหรัฐที่มีผลกระทบต่อการค้าของสหรัฐ หรือ Nation Trade Estimate Report on Foreign Trade Barrier (NTE) เป็นประจำทุกปี สำหรับรายงานประจำปี 2007 ได้เผยแพร่แล้วเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2550 โดยในส่วนของประเทศไทย มีรายงานที่เกี่ยวกับกิจการ Electronic Commerce หรือพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของไทยว่า ประเทศไทยขาดกฎหมายที่สมบูรณ์แบบที่จะส่งเสริมสนับสนุนกิจการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ทำให้ภาคธุรกิจขาดโอกาส ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างเต็มที่ ธุรกรรมทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่เป็นการดำเนินการในลักษณะธุรกิจต่อธุรกิจ การกำกับดูแลและส่งเสริมกิจการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในประเทศไทย อาจกล่าวได้ว่ามีหน่วยงานหลักอยู่สองหน่วยงาน คือ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รับผิดชอบโดยตรงเรื่องโครงสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน ด้านเทคโนโลยี ด้านความมั่นคงปลอดภัยที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี การป้องกันอาชญากรรมที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ และกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งรับผิดชอบกำกับดูแลและส่งเสริมที่เกี่ยวกับธุรกิจการค้าและการพัฒนาผู้ประกอบการ
ตามรายงานของ USTR ดังกล่าวคงต้องยอมรับว่าค่อนข้างตรงกับความเป็นจริง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพยายามอย่างเต็มที่ ในการผลักดันให้มีการตราพระราชกฤษฎีกา ที่ต้องออกตามพระราชบัญญัติว่าด้วย ธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ 2544 ออกใช้บังคับ เพื่อให้การใช้กฎหมายดังกล่าวมีผลในทางปฎิบัติ และเสนอยกร่างกฎหมาย เพื่อแก้ไขปรับปรุงกฎหมายฉบับนี้ให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ตลอดจนยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องอีกหลายฉบับ แต่การออกกฎหมายมีขั้นตอนที่ต้องใช้เวลาในการดำเนินการอยู่พอสมควร ในส่วนการกำกับดูแล ส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ในความรับผิดชอบของกระทรวงพาณิชย์ ก็ปรากฏว่า ปัจจุบันกระทรวงพาณิชย์ก็ไม่มีกฎหมายกำกับดูแลและส่งเสริมพัฒนาการการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์โดยตรง แต่ใช้กฎหมายที่มีอยู่ คือ กฎหมายว่าด้วยทะเบียนพาณิชย์ กำหนดให้ผู้ประกอบการต้องจดทะเบียนพาณิชย์ เพื่อให้มีข้อมูลเกี่ยวกับตัวตนของผู้ประกอบการว่ามีอยู่จริง ตั้งอยู่ที่ใด อุปสรรคที่เป็นปัญหาต่อการเจริญเติบโตของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในส่วนที่เป็นการซื้อขายออนไลน์มีปัจจัยหลายประการ ปัจจัยที่สำคัญประการหนึ่ง คือความเชื่อมั่นของผู้ซื้อสินค้าว่าจะถูกโกงหรือไม่ จะได้รับสินค้าตรงตามที่สั่งซื้อหรือไม่ ข้อมูลความลับของลูกค้าจะได้รับการคุ้มครองปกป้องหรือไม่ ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในทุกประเทศทั่วโลก ไม่วาจะเป็นในสหรัฐ ยุโรป เอเชีย จึงได้มีการนำระบบรองรับความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการโดยบุคคลที่สามมาใช้ คือการออกเครื่องหมายรับรองความน่าเชื่อถือที่เรียกกันว่า TRUSTMARK มาใช้ ผู้ที่ออกเครื่องหมายรับรอง TRUSTMARK อาจเป็นเอกชนที่มีชื่อเสียง องค์กรกึ่งเอกชน หรือหน่วยงานรัฐก็ได้ ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจเป็นที่น่าเชื่อถือถูกต้องตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ไม่มีประวัติเสียหายทางธุรกิจ จะได้รับอนุญาตให้แสดงเครื่อง TRUSTMARK ไว้ที่เว็บไซต์ของตน ซึ่งก็ช่วยแก้ไขปัญหาความเชื่อมั่นของผู้ซื้อสินค้าได้ดีระดับหนึ่ง สำหรับประเทศไทย กระทรวงพาณิชย์โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ได้จัดทำเครื่องหมายรับรองความน่าเชื่อถือ TRUSTMARK ออกบริการให้แก่ผู้ประกอบการที่มีคุณสมบัติถูกต้องตามระเบียบกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้แล้ว ซึ่งน่าเชื่อว่าจะมีส่วนช่วยในการพัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของไทยได้บ้างไม่มาก็น้อย เครื่องรับรองดังกล่าวให้การรับรองความน่าเชื่อถือเฉพาะกิจการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เท่านี้ ไม่ครอบคลุมถึงธุรกิจการเมือง


ความสำคัญของการทำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
-ลดค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร รวมทั้งค่าเช่าพื้นที่ขายหรือการลงทุนในการสร้างร้าน ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนของธุรกิจต่ำลง
-ประหยัดเวลาและขั้นตอนทางการตลาด
-เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง และให้บริการได้ทั่วโลก
-มีช่องทางการจัดจำหน่ายมากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ
-สามารถทำกำไรได้มากกว่าระบบการขายแบบเดิม เนื่องจากต้นทุนการผลิตและการจำหน่ายต่ำกว่า ทำให้ได้กำไรจากการขายต่อหน่วยเพิ่มขึ้น
-สามารถนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าได้เป็นจำนวนมาก และสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้ในลักษณะ Interactive Market
-ปรับปรุงหรือ Update ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการได้ตลอดเวลา
- สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้ซื้อหรือลูกค้า อาทิ ชื่อ ที่อยู่ พฤติกรรม การบริโภค สินค้าที่ต้องการ เพื่อนำไปเป็นข้อมูลในการทำวิจัยและวางแผนการตลาด เพื่อผลิตสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของตลาดมากขึ้น
-สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจหรือองค์กร ในเรื่องของความทันสมัยและเป็นโอกาสที่จะทำให้สินค้าหรือบริการเป็นทีรู้จักของคนทั่วโลก
-สามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการได้เร็วและเสียเวลาน้อย
องค์ประกอบพานิชย์อิเล็กทรอนิกส์
1. ผลิตภัณฑ์ (Product)
แม้ เว็บไซต์จะมีความสวยงาม แต่หากผลิตภัณฑ์ไม่ตรงกับความต้องการของลูกค้า ความสวยงามหรือตื่นตาตื่นใจเพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถที่จะสร้างรายได้ให้ กับธุรกิจได้ ดังนั้น ผู้ผลิตจึงควรที่จะมีการวิเคราะห์สินค้าว่ารูปแบบควรเป็นลักษณะใด การใช้ประโยชน์ของสินค้า และกลุ่มเป้าหมายหรือผู้ซื้อ โดยเฉพาะการผลิตสินค้าที่ไม่มีขายทั่วไปในช่องทางปกติ เช่นผลิตภัณฑ์แปรรูปสมุนไพรจากเกษตร เช่น ปลาร้าก้อน, ปลาร้าผง, สมุนไพรเพื่อสุขภาพ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้สินค้านั้นเป็นที่ต้องการของผู้ซื้อออนไลน์ ปัญหา สำคัญของการซื้อขายสินค้าทางอินเทอร์เน็ตคือ ลูกค้าไม่สามารถทดลองสินค้าได้ก่อน แม้ว่าสินค้านั้นจะดีจริง ลูกค้าส่วนใหญ่มีแนวโน้มจะซื้อสินค้าจากร้านที่เขาเคยได้ยินชื่อมาก่อน หรือมิฉะนั้น สินค้าจะต้องมีตรายี่ห้อ เพื่อจะได้มั่นใจในคุณภาพสินค้า และการสร้างความน่าเชื่อถือของร้านค้า ว่าจะไม่ทุจริต เพราะจำนวนเงินธุรกรรมที่ผู้บริโภคซื้อผ่านเว็บไซต์ บางครั้งก็ไม่คุ้มที่จะฟ้องร้องหากผู้ขายทุจริต นอกจากนั้น ผู้ขายจะต้องคำนึงถึงการจัดส่งสินค้าให้อยู่ในสภาพที่ดีด้วย
2.ราคา (Price)
สินค้าไทยอาจมีราคา ถูกเมื่อคำนวณในสกุลเงินต่างประเทศ แต่การขายสินค้าไปต่างประเทศในลักษณะผู้ผลิตสู่ผู้บริโภค (B2C) นั้น ผู้ซื้อต้องชำระค่าขนส่ง และภาษีนำเข้าด้วย ซึ่งขณะนี้ค่าขนส่งสินค้า 1 กิโลกรัมไปอเมริกา โดยบริษัทขนส่งมีต้นทุนประมาณ 1,000 บาท ดังนั้น สินค้าเหล่านี้อาจจะมีราคาแพงกว่าที่ซื้อจากร้านในอเมริกาได้ ในระยะยาวแล้วต้นทุนการผลิตของไทยอาจสูงกว่าอินเดีย หรือจีน เพราะค่าแรงที่ปรับตัวสูงขึ้นของไทย ทำให้ไม่สามารถพึ่งพาการส่งออกด้วยการขายของถูกได้อีกต่อไป ดังนั้น ผู้ขายจึงควรเน้นการตั้งราคาให้เหมาะสมกับคุณภาพของสินค้า หมั่นตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงราคาของคู่แข่งใกล้เคียง นอกจากนี้ ในการขายสินค้าบางชนิดเช่นเครื่องประดับที่มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบา อาจทำให้ต้นทุนค่าขนส่งสูง เพราะมีการคำนวณน้ำหนักขั้นต่ำในการส่ง ผู้ขายจึงควรนำเสนอสินค้าเครื่องประดับเป็นชุด แทนที่จะแยกขายเป็นชิ้น ซึ่งเมื่อรวมราคาเป็นชุดแล้วจะทำให้ลูกค้ามีความรู้สึกว่าราคาไม่สูงนัก ในกรณีที่ผู้ขายทราบตลาดหลักของตนว่าเป็นกลุ่มลูกค้าจากประเทศอะไรแล้ว อาจทำการคำนวณค่าจัดส่งรวมเข้าไปในราคาสินค้าเลย เพื่อจะช่วยร่นกระบวนการตัดสินใจซื้อของลูกค้าให้สั้นขึ้น สำหรับการตั้งราคาเพื่อจำหน่ายสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ตนั้น ผู้ขายจะต้องมีการคำนวณต้นทุนให้รอบคอบ หรือความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น การที่ลูกค้าทำรายการซื้อด้วยบัตรเครดิตนั้น ธนาคารจะมีการคิดค่าธรรมเนียม 3% ซึ่งผู้ขายจะต้องนำค่าใช้จ่ายนี้ไปรวมเป็นต้นทุนก่อนตั้งราคาสินค้าด้วย
3.ช่องทางการจัดจำหน่าย (Place)
คำ กล่าวที่ว่า ทำเลดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ดูจะเป็นคำพูดที่มีน้ำหนักอยู่เสมอในโลกธุรกิจ เพราะทำเลการค้าที่ดีหลายแห่งจะมีค่าจอง ค่าเซ้งในราคาที่สูงลิบลิ่ว เนื่องจากเป็นที่ต้องการของคู่แข่งหลายราย และทำเลการค้าที่ดีก็มีอยู่จำกัด ทำให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กหลายรายจึงต้องเริ่มธุรกิจด้วยการใช้รถเข็น หรือเปิดแผงลอยย่อยๆ ก่อน ถ้าจะเทียบกับเว็บไซต์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การหาทำเลอาจจะเทียบเคียงได้กับการตั้งชื่อร้านค้า ที่ศัพท์ทางอินเทอร์เน็ตเรียกว่า โดเมนเนม (Domain Name) ในทางอินเทอร์เน็ตนั้นไม่มีข้อจำกัดทางกายภาพ
ดังนั้นทำเลการค้าทางอินเทอร์เน็ต จึงไม่ได้หมายถึงที่ตั้งของร้าน ร้านค้าอาจใส่ข้อมูลสินค้าบนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ที่ประเทศไทย อเมริกา หรือ อินเดีย ได้ โดยลูกค้าไม่ได้สนใจมากนัก และส่วนใหญ่แล้วไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ของร้านค้าอยู่ที่ ประเทศใด แต่ลูกค้าเข้าสู่ร้านค้าโดยจดจำชื่อร้าน เช่น Amazon.com หรือ Hotmail.com ชื่อร้านค้าเหล่านี้เปรียบเสมือนยี่ห้อสินค้า และชื่อเหล่านี้เป็นทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดบนโลกอินเทอร์เน็ต เช่นเดียวกับทำเลทองย่านการค้า การจดทะเบียนโดเมนเนมจึงควรเลือกชื่อที่จดจำได้ง่าย แต่ส่วนใหญ่ชื่อที่ดี มักจะถูกจดไปหมดแล้ว ในปัจจุบันจึงเกิดธุรกิจซื้อขายเฉพาะชื่อโดเมนเนมเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยไม่ควรยึดเว็บไซต์เป็นช่องทางการค้าเพียงอย่างเดียว หากมีโอกาสเปิดช่องทางการค้าตามวิธีปกติได้ก็ควรจะทำควบคู่กันไปด้วย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ซื้อ การมีเว็บไซต์นั้น จะเป็นประโยชน์ต่อการให้ข้อมูลเบื้องต้นแก่ลูกค้าก่อนซื้อ หรือมีการซื้อซ้ำได้ หลังจากที่ลูกค้าได้ซื้อสินค้าจากช่องทางปกติไปทดลองใช้จนพอใจแล้ว
4.การส่งเสริมการขาย (Promotion)
การส่งเสริมการขายบนเว็บไซต์เป็น สิ่งจำเป็นเช่นเดียวกับการค้าปกติ โดยรูปแบบมีตั้งแต่การจัดชิงรางวัล การให้ส่วนลดพิเศษในเทศกาลต่างๆ รวมทั้งการโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ลูกค้าเข้ามาเลือกสินค้าที่เว็บไซต์ นอกจากการโฆษณาประชาสัมพันธ์ในสื่อปกติ เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุ โทรทัศน์แล้ว ยังมีการโฆษณาด้วยรูปแบบที่เรียกว่าป้ายโฆษณาบนเว็บไซต์ (Banner Advertising) ซึ่งมีลักษณะคล้ายสื่อสิ่งพิมพ์ แต่จะแสดงบนเว็บไซต์อื่น การโฆษณาลักษณะนี้จะคิดค่าใช้จ่ายตามจำนวนครั้งที่แสดงโฆษณาโดยนับเป็นจำนวน หลักพันครั้ง หรือ CPM ซึ่งมาจากคำว่า Cost Per Thousand Impressions วิธีการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ที่ได้ผลดีอีกวิธีหนึ่งคือ การลงทะเบียนในเว็บไซต์เครื่องมือค้นหา เช่น Yahoo.com, Google.com หรือ การประมูลขายสินค้าในเว็บไซต์ eBay.com นอกจากการประชาสัมพันธ์ด้วยวิธี ต่างๆ ให้ลูกค้ารู้จักเว็บไซต์แล้ว บริการหลังการขายก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะการที่ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าครั้งหนึ่งนั้น ไม่ได้หมายถึงการที่ผู้ขายจะได้รับเพียงคำสั่งซื้อเดียว หากมีบริการที่ดี เช่น การส่งของแถม หรือคูปองส่วนลดไปพร้อมกับสินค้า จะทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ และอาจกลับมาซื้อซ้ำ หรืออาจบอกต่อเพื่อนฝูงให้มาใช้บริการร้านออนไลน์ของผู้ขายต่อไปได้
5.การให้บริการแบบเจาะจง (Personalization)
เทคโนโลยี อินเทอร์เน็ตทำให้เว็บไซต์สามารถเก็บข้อมูลของลูกค้าแต่ละคนได้ และสามารถให้บริการแบบเจาะจงกับลูกค้าแต่ละรายได้ ตัวอย่างเช่น หากผู้ใช้เคยซื้อหนังสือจากเว็บไซต์ Amazon.com เมื่อเข้ามาที่เว็บไซต์นี้อีกครั้งหนึ่งจะมีข้อความต้อนรับ โดยแสดงชื่อผู้ใช้ขึ้นมา พร้อมรายการหนังสือที่เว็บไซต์แนะนำ ซึ่งเมื่อดูรายละเอียดจะพบว่าเป็นหนังสือในแนวเดียวกับที่เคยซื้อครั้งที่ แล้ว เมื่อผู้ใช้สั่งซื้อหนังสือใด เว็บไซต์ก็จะทำการแนะนำต่อไปว่าผู้ที่สั่งซื้อหนังสือเล่มนี้ มักจะสั่งซื้อสินค้าต่อไปนี้ด้วย พร้อมแสดงรายการหนังสือหรือสินค้าแนะนำ เป็นการสร้างโอกาสการขายตลอด เครื่องคอมพิวเตอร์ของร้านค้าสามารถเก็บข้อมูลการซื้อสินค้าของลูกค้าทุกราย และใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ประเภท Data Mining ทำการวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ในการซื้อสินค้า รวมทั้งการเสนอขายสินค้าแบบ Cross Sell ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถพัฒนาไปใช้กับการให้บริการลูกค้าทางโทรศัพท์ ด้วยระบบ Call Center ได้ด้วย

6.การรักษาความเป็นส่วนตัว (Privacy)
การซื้อขายผ่านระบบเครือข่ายอิน เทอร์เน็ต ผู้ซื้อต้องมีการกรอกข้อมูลส่วนตัวของตนส่งไปให้ผู้ขาย ดังนั้น ผู้ขายจะต้องรักษาความลับของข้อมูลเหล่านี้ โดยต้องไม่เผยแพร่ข้อมูลต่างๆ ของลูกค้าก่อนได้รับอนุญาต ข้อมูลส่วนตัวเหล่านี้ไม่ได้หมายถึงในเรื่องของข้อมูลอันเป็นความลับ เช่น หมายเลขบัตรเครดิตเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงข้อมูลอื่นๆ เช่นที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ หรือ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ผู้ดูแลเว็บไซต์จำเป็นต้องสร้างระบบ รักษาความปลอดภัยที่เชื่อถือได้ว่า ข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกโจรกรรมออกไปได้ โดยผู้ขายจะต้องระบุนโยบายเกี่ยวกับการรักษาความเป็นส่วนตัวของลูกค้า หรือ Privacy Policy ให้ชัดเจนบนเว็บไซต์ และปฏิบัติตามกฎนั้นอย่างเคร่งครัด เช่นไม่ส่งโฆษณาไปหาลูกค้าทางไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์โดยไม่ได้รับอนุญาติ, ไม่นำข้อมูลที่อยู่ของลูกค้าไปขายต่อให้บริษัทการตลาด เป็นต้น
รูปแบบพานิชย์อิเล็กทรอนิกส์
1. แบบธุรกิจกับธุรกิจ (B2B : Business to Business) เป็นธุรกรรมระหว่างผู้ดำเนินธุรกิจด้วยกันเอง ส่วนใหญ่เป็นการตกลงซื้อขายสินค้าบริการปริมาณมาก
2. แบบธุรกิจกับผู้บริโภค (C2C : Consumer to Consumer) ผู้ชื่อและผู้ขายจำนวนมากจะเข้ามาเพื่อติดต่อแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าและบริการ ส่วนใหญ่จะเป็นสินค้ามือสองหรือการประมูล
3. แบบธุรกิจกับผู้บริโภค (B2C:Business to Consumer) เป็นการทำธุรกรรมกันระหว่างผู้ประกอบการกับผู้บริโภค ไม่ต้องผ่านพ่อค้าคนกลาง เช่นการจองที่พักโรงแรม เสื้อผ้า
ขั้นตอนการค้าแบบอิเล็กทรอนิกส์
• ขั้นตอนที่ 1 ออกแบบและจัดทำเว็บไซต์
• ออกแบบด้วยรูปลักษณ์ที่สวยงาม น่าสนใจ
• ออกแบบขั้นตอนวิธีที่ใช้ง่ายและสะดวก
• ออกแบบเว็บให้ทันสมัยและเป็นปัจจุบัน
• ออกแบบด้วยการสร้างความแตกต่าง
• ขั้นตอนที่ 2 การโฆษณาออนไลน์
• ลงประกาศตามกระดานข่าว
• จัดทำป้ายโฆษณาออนไลน์
• โฆษณาผ่านอีเมล์
• แผยแพร่ผ่านสื่ออื่นๆ
• ลงทะเบียนกับผู้ให้บริการค้นหาข้อมูล
• การลงทะเบียนเพื่อโฆษณาเว็บไซต์
• ขั้นตอนที่ 3 การทำรายการซื้อขาย
• ต้องรักษาความลับได้
• เชื่อถือได้
• พิสูจน์ทราบตัวตนจริงๆของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย
• ขั้นตอนที่ 4 การส่งมอบสินค้า
• สินค้าที่จับต้องได้ (Hard goods)
• สินค้าที่จับต้องไม่ได้(Soft goods)
• software,รูปภาพ และเพลง ,บริการข้อมูลข่าวสาร
• ขั้นตอนที่ 5 การบริการหลังการขาย

ประเภทสินค้า ในระบบ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

1.พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์..ขุมทรัพย์แหล่งใหม่
การประชาสัมพันธ์ในการผลักดันให้มีการประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์นั้น มักจะประชาสัมพันธ์ ว่าระบบนี้สามารถ ช่วยให้ผู้ประกอบการ ของไทย สามารถเผยแพร่ขายสินค้า และบริการได้ทั้งในและต่างประเทศทั่วโลก แต่มักจะลืมนำเสนอในเชิงกลับกันว่าผู้ประกอบการต่างชาติ ก็สามารถนำเสนอสินค้าและบริการมาแข่งกัน กับผู้ประกอบการภายในได้เช่นกัน การแข่งขันเรื่องของราคา และการตลาดเป็นกลไกสำคัญ ในการประกอบการดังจะพบว่าราคาของสินค้าในอินเทอร์เน็ตนั้น เป็นไปตามกลไกของตลาดแข่งขันเสรี และมักมีราคาที่ถูกกว่าราคาของสินค้าที่ขายในร้านค้าจริง เนื่องจากสามารถลดค่าใช้จ่ายได้หลายส่วน และยังมีสามารถรายได้จากแหล่งอื่นเช่นโฆษณา การขายและให้บริการข้อมูลสมาชิกได้
2.พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์กับการแข่งขันทางการค้า
หากพิจารณาถึงความได้เปรียบเสียเปรียบ ในการประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์อย่างตรงไปตรงมา คงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ผู้ประกอบการที่มีความพร้อม มีชื่อเสียงและเชื่อถือได้ย่อมได้เปรียบ ดังกรณีที่คนไทยในกลุ่มนักเรียน นักศึกษา นักวิชาการและบุคคลทั่วไปรู้จัก และใช้บริการ การซื้อหนังสือผ่านอินเทอร์เน็ตทำให้ www.amazon.com สามารถสร้างรายได้จากตำราต่างประเทศ จำนวนมากซึ่งส่วนนี้คือส่วนที่ร้านหนังสือต้องสูญเสียรายได้ในส่วนนี้ไป จนบางร้านได้ปิดกิจการหรือลดขนาดลง แต่หากพิจารณาในส่วนของผู้บริโภคแล้ว จะพบว่าผู้บริโภคนั้นได้รับผลประโยชน์ คือ สามารถเลือกซื้อหนังสือได้ราคาถูกลงแม้รวมค่าขนส่ง ดังจะเห็นได้ว่าหากร้านหนังสือไม่ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ ในการประกอบการย่อมมีปัญหาตามมาอีกแน่ และหากเกิดปัญหาในทำนองเดียวกันนี้ กับผู้ประกอบการในธุรกิจอื่น ย่อมไม่ส่งผลดีต่อประเทศอย่างแน่นอน
การเลือกสินค้าที่ลักษณะและรูปแบบที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ออกไป ก็สามารถสร้างความสำเร็จอย่างคาดไม่ถึงเช่น www.garden.com ที่ขายต้นไม้จริงผ่านอินเทอร์เน็ต ดังนั้นเรื่องของสินค้าคงไม่ได้จำกัดขอบเขตในกลุ่มของสินค้าที่นิยมกันเท่านั้น สิ่งหนึ่งที่เชื่อมั่นได้ว่าการประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์นั้นเป็นเรื่องของการตลาด หากมีการตลาดที่ดีก็สามารถให้บริการหรือนำเสนอสินค้าอะไรก็ได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผู้ประกอบการต้องสามารถสร้างโอกาสให้ตนเองได้ ในขณะที่คนส่วนใหญ่คาดไม่ถึงและคิดว่าเป็นปัญหาให้ได้






ประโยชน์ของ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

1. ทำการค้าได้ตลอด 24 ชั่งโมง และขายสินค้าได้ทั่วโลก นักท่องอินเตอร์เน็ตจากทั่วทุกมุมโลกสามารถเข้ามาในเว็บไซต์ของบริษัทได้ตลอดเวลาผู้ขายสามารถนำเสนอสินค้า ผลิตภัณฑ์ และบริการต่างๆได้อย่างรวดเร็ว โดยคำสั่งซื้ออาจเกิดขึ้นตลอด 24 ชั่วโมงและมาจากที่ต่างๆกัน
2. ข้อมูลทันสมัยอยู่เสมอ และประหยัดค่าใช้จ่าย พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ นั้นมีประโยชน์ที่สำคัญมากอีกประการหนึ่ง คือสามารถ เสนอข้อมูลที่ใหม่ล่าสุดให้กับลูกค้าได้ทันทีซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดพิมพ์เอกสาร และประหยัดเวลาในการประชาสัมพันธ์
3. ทำงานแทนพนักงานขาย และเพิ่มประสิทธิภาพการขาย พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์นั้นสามารถทำงานแทนพนักงานขายของคุณได้ โดยสามารถทำการค้าในรูปแบบอัตโนมัติ และดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการทางธุรกิจภายในองค์กรนั้นๆ
4. แทนหน้าร้าน หรือบูทแสดงสินค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สามารถแสดงสินค้าที่มีอยู่ให้กับลูกค้าทั่วโลกได้มองเห็นสินค้าของคุณ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายตกแต่งหน้าร้าน หรือในการเดินทางออกไปในบูทแสดงสินค้าในที่ต่างๆ
5. เทคโนโลยีช่วยส่งเสริมผลิตภัณฑ์ให้น่าสนใจยิ่งขึ้น ปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ๆมาช่วยในการทำให้ผลิตภัณฑ์มีความน่าสนใจยิ่งขึ้น เช่น การแสดงสินค้าโดยผู้ชมสามารถดูสินค้าได้ 180 องศาหรือลูกค้าสามารถอ่านหัวข้อของหนังสือที่ต้องการซื้อก่อนได้
6. ง่ายต่อการชำระเงิน พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สามารถชำระเงินได้อย่างสะดวกสบายโดยวิธีการตัดผ่านบัตรเครดิตหรือการโอนเงินเข้าบัญชีซึ่งจะเป็นระบบอัตโนมัติ
7. เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ในโลกพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์บริษัทขนาดเล็กสามารถมีโอกาสทางธุรกิจเทียบได้กับบริษัทขนาดใหญ่ซึ่งขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายๆอย่าง เป็นต้นว่า ชื่อ URL ของบริษัทควรจะจำง่าย การออกแบบเว็บไซต์ให้สวยงามและปรับปรุงให้ทันสมัยอยู่เสมอ การสั่งซื้อและการชำระเงินมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดี เป็นต้น
8. สร้างความประทับใจและพึงพอใจได้มากกว่าปัจจุบันการสั่งซื้อสินค้าผ่านทางอินเตอร์เน็ตทำได้อย่างง่ายดาย สินค้าและบริการมีให้เลือกมากมายทำให้ไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทาง และเสียเวลาไปกับการค้นหาสินค้าและบริการที่ต้องการ ลูกค้าสามารถค้นหาสินค้าที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วที่สุด เช่นถ้าลูกค้าต้องการซื้อของตกแต่งบ้านจากเว็บไซต์ Bangpa-in.com ลูกค้าสามารถจะค้นหาสินค้าจากประเภทของสินค้า หรือค้นหาตามรูปแบบที่ต้องการได้ ในกรณีที่ลูกค้าสั่งสินค้าและได้ให้รายละเอียดส่วนตัวไว้ ร้านค้าสามารถ บันทึก รายละเอียดของลูกค้าไว้ในฐานข้อมูลของเราเพื่อความสะดวกของลูกค้าในการสั่งซื้อสินค้าครั้งต่อไป (Member System)
9. รู้และแก้ปัญหาต่างๆได้ทันท่วงที พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สามารถให้บริการหลังการขายได้เช่นกันโดยใช้ประโยชน์จากอีเมล์ในการติดต่อลูกค้า การสร้างแบบสอบถามลูกค้าเพื่อสอบถามความพึงพอใจต่อสินค้าและบริการทำให้ร้านค้าสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาแก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้นและทันท่วงที
ข้อจำกัดของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์สามารถจัดกลุ่มตามประเภทเทคโนโลยีและไม่ใช่เทคโนโลยี ซึ่งมีดังต่อไปนี้
ผลกระทบของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ต่อประเทศไทย
1. เปลี่ยนโครงสร้างการค้ารูปแบบใหม่ไปสู่ระบบดิจิทอล
2. ขาดแคลนแรงงานที่มีความรู้ความเข้าใจทางด้านเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
3. เสียเปรียบดุลการค้าต่างชาติที่พัฒนาทางเทคโนโลยีไปสูงกว่า
4. ยังไม่มีกฏหมายที่ใช้บังคับการทำผิดบนอินเทอร์เน็ตโดยตรง หรือคุ้มครองข้อมูลการซื้อขายที่ชัดเจน
5. การส่งเสริมจากรัฐบาลเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน เป็นไปอย่างไม่เร่งร้อน
6. ความไม่แน่ใจเรื่องความปลอดภัยของ e-commerce

เนื่องจากปัจจุบันทางกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ ได้จัดตั้งกองพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ให้เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในการส่งเสริมและสนับสนุนพาณิชย์ อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเพิ่มและขยายช่องทางการตลาดให้แก่ผู้ประกอบการ เนื่องจากการขยายตัวของธุรกิจออนไลน์เกิดขึ้นมาก ทั้งนี้ ผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีสถานประกอบการตั้งอยู่ในประเทศไทย ต้องมาจดทะเบียนพาณิชย์ เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบการมีตัวตนของผู้ประกอบการได้ว่า ผู้ประกอบการมี ตัวตนจริงหรือไม่ เป็นใคร อยู่ที่ไหน ทำธุรกรรมอะไรบ้าง

ทรอนิกส์ ประโยชน์ของการจดทะเบียนของผู้ขาย
1. เพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่ผู้ประกอบการ และเว็บไซต์ที่จำหน่ายสินค้าในระดับหนึ่ง
โดยกรมฯ จะจัดทำเลขทะเบียน พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (เครื่องหมาย Registered) จัดส่งให้แก่ผู้ประกอบการ (ส่งทางe-Mail ในรูปแบบ Source Code) เพื่อให้ผู้ประกอบการนำไปแสดงไว้บน Web Site หรือ Home Page เพื่อแสดงว่าได้ จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแล้ว เมื่อผู้บริโภค (ผู้ซื้อ) เห็นเครื่องหมาย Registered แล้ว จะเกิดความมั่นใจในการทำธุรกรรมเพิ่มมากขึ้น โดยเมื่อ click ที่เลขทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ระบบจะเชื่อมโยงมายังฐานข้อมูลกรมฯ และแสดงข้อมูลทางทะเบียนของผู้ประกอบการ เพื่อให้ ประชาชนสามารถตรวจสอบสถานะและการมีตัวตนของผู้ประกอบการได้
2. ช่องทางประชาสัมพันธ์เพิ่มเติม โดยกรมฯ จะนำรายชื่อเว็บไซต์ที่ขึ้นทะเบียน มาจัดทำเป็นฐานข้อมูล แยกตามประเภทธุรกิจ ผ่านเว็บไซต์ www.dbd.go.th/edirectory นำไปเผยแพร่แก่ผู้ประกอบการและประชาชนผู้สนใจผ่านสื่อต่าง ๆ เพื่อเป็นการช่วยเผยแพร่และประชาสัมพันธ์ให้แก่ผู้ประกอบการอีกทางหนึ่ง
3. สามารถขอหมายรับรองความน่าเชื่อถือ (Trustmark) ได้ ผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ที่จดทะเบียนแล้ว สามารถยื่นขอใช้เครื่อง หมายรับรองความน่าเชื่อถือ (Trustmark) จากกรมฯ ได้ ซึ่งเครื่องหมาย Trustmark นี้จะมีความ น่าเชื่อถือสูงกว่าเครื่องหมาย Registered กล่าวคือ จะออกให้แก่เว็บไซต์ที่มีคุณสมบัติตามที่กรมฯ กำหนด เท่านั้น เพื่อเป็นการยกระดับผู้ประกอบการของไทยให้เป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ (www.trustmarkthai.com)
4. สิทธิพิเศษต่างๆ เพิ่มเติม เช่น การเข้าร่วมการอบรมสัมมนา การได้รับคำแนะนำ และการได้รับข้อมูลข่าวสารด้านการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
ผู้มีหน้าที่จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

คือ บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่มีสถานประกอบการตั้งอยู่ในประเทศไทย ซึ่งประกอบพาณิชยกิจในเชิงพาณิชย์อันเป็นอาชีพปกติ ดังนี้
• ซื้อขายสินค้าหรือบริการ ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ได้แก่ บุคคลที่มีเว็บไซต์เพื่อทำการซื้อขายสินค้าหรือบริการ
• บริการอินเทอร์เน็ต (ISP : Internet Service Provider)
• ให้เช่าพื้นที่ของเครื่องคอมพิวเตอร์แม่ข่าย (Web Hosting)
• บริการเป็นตลาดกลางในการซื้อขายสินค้าหรือบริการ โดยวิธีการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (e-Marketplace)

เอกสารที่ต้องใช้ประกอบการจดทะเบียน
1. คำขอจดทะเบียนพาณิชย์ (แบบ ทพ.) และ รายละเอียดเกี่ยวกับเว็บไซต์ สำเนาบัตรประจำตัว
- กรณีบุคคลธรรมดา ได้แก่ สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
- นิติบุคคล ได้แก่ สำเนาบัตรประจำตัวผู้จัดการของห้างหุ้นส่วน หรือของกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชนจำกัด (ไม่ต้องแนบหนังสือรับรองการจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล)
2. หนังสือมอบอำนาจ (ถ้าไม่ได้จดด้วยตัวเอง)
3. หนังสือชี้แจง กรณียื่นล่าช้าหรือเกินกำหนด (เกิน 30 วันตั้งแต่การประกอบการทางเว็บไซต์)
กำหนดเวลาการยื่นคำขอจดทะเบียน
ผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ที่ยังไม่ได้จดทะเบียนพาณิชย์ ให้ยื่นขอจดทะเบียนให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันเริ่มประกอบการ (ทางเว็บไซต์)
สถานที่ยื่นจดทะเบียน
1. ผู้ประกอบการที่มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครให้ยื่นจดทะเบียนต่อ สำนักงานบริการจดทะเบียนธุรกิจ 1-7 หรือ ส่วนจดทะเบียนธุรกิจกลาง สำนักทะเบียนธุรกิจ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยจะเลือกยื่นต่อสำนักงานใดก็ได้
- ส่วนจดทะเบียนธุรกิจกลาง (ชั้น 10 กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สนามบินน้ำ นนทบุรี) โทร. 0 2547 5153-5
- สำนักงานบริการการจดทะเบียนธุรกิจ 1 (อาคารธนาลงกรณ์ ถ.บรมราชชนนี)โทร.0 2446 8160-9
- สำนักงานบริการการจดทะเบียนธุรกิจ 2 (อาคาร ถ.พระราม 6) โทร. 0 2618 3345
- สำนักงานบริการการจดทะเบียนธุรกิจ 3 (อาคารปรีชาคอมเพล็กซ์ ถ.รัชดาภิเษก) โทร. 0 2276 7268
- สำนักงานบริการการจดทะเบียนธุรกิจ 4 (อาคารวรวิทย์ ชั้น 8 โซน A-B) โทร. 0 2234 2951-3
- สำนักงานบริการการจดทะเบียนธุรกิจ 5 (อาคารปรีชาคอมเพล็กซ์ ถ.รัชดาภิเษก) โทร. 0 2276 7255
- สำนักงานบริการการจดทะเบียนธุรกิจ 6 (อาคารโมเดิอร์นฟอร์ม ถ.ศรีนครินทร์) โทร. 0 2722-8366-7
- สำนักงานบริการการจดทะเบียนธุรกิจ 7 (อาคารปรีชาคอมเพล็กซ์ ถ.รัชดาภิเษก) โทร. 0 2276 7253
2. ผู้ประกอบการที่มีสำนักงานแห่งใหญ่ตั้งอยู่จังหวัดอื่น นอกจากกรุงเทพมหานคร ไม่ว่าจะตั้งอยู่อำเภอใด ให้ยื่นต่อสำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้าจังหวัดนั้น ๆ เพียงแห่งเดียว

วันเสาร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2554

บทที่ 14 การแก้ปัญหากระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศและการพัฒนาโครงงานคอมพิวเตอร์

ข้อเสนอแนะสำหรับครูและผู้ปกครอง
บทเรียนรู้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
มาตรฐาน ง ๒.๑ เข้าใจเทคโนโลยีและกระบวนการเทคโนโลยี ออกแบบและสร้างสิ่งของเครื่องใช้หรือ
วิธีการตามกระบวนการเทคโนโลยีอย่างมีคามคิดสร้างสรรค์ เลือกใช้เทคโนโลยีใน
ทางสร้างสรรค์ต่อชีวิต สังคม สิ่งแวดล้อม และมีส่วนร่วมในการจัดการเทคโนโลยีอย่าง
ยั่งยืน
มาตรฐาน ง ๓.๑ เข้าใจ เห็นคุณค่า และใช้กระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศในการสืบค้นข้อมูลการเรียนรู้
การสื่อสาร การแก้ปัญหา การทำงาน และอาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และมี
คุณธรรม
ตัวชี้วัด : สิ่งที่นักเรียนพึงรู้และปฏิบัติได้

ง. ๒.๑(๕) วิเคราะห์และเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับชีวิตประจำวันอย่าง
สร้างสรรค์ต่อชีวิต สังคมและสิ่งแวดล้อม และมีการจัดการเทคโนโลยีที่ทั้ง
ยั่งยืนด้วยวิธีการของเทคโนโลยีสะอาด
ง. ๒.๑(๕) แก้ปัญหาด้วยกระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ
ง. ๒.๑(๗) พัฒนาโครงงานคอมพิวเตอร์
ง. ๒.๑(๙) ติดต่อสื่อสาร ค้นหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต
ง. ๒.๑(๑o) ใช้คอมพิวเตอร์ในการประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ เพื่อ
ประกอบการตัดสินใจ
ง. ๒.๑(๑๑) ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศนำเสนองานในรูปแบบที่เหมาะสมตรงตาม
วัตถุประสงค์ของงาน
ง. ๒.๑(๑๒) ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อสร้างชิ้นงานหรือโครงงานอย่างมีจิตสำนึกและความ
รับผิดชอบ
ง. ๒.๑(๑๓) บอกข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ใช้เทคโยนโลยีสารสนเทศ

แนวคิด
ปัจจุบันมนุษย์ต้องการความรวดเร็วในการทำงาน เนื่องจากมีการแข่งขันสูง ดังนั้นจึงนำวิวัฒนาการด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการแก้ปัญหาให้กับระบบงานเดิม เพื่อให้ระบบงานใหม่ที่เข้ามาแทนที่เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพ และตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน นอกจากนี้การพัฒนาโครงงานของนักเรียน ก็คือแนวทางในการประมวลความรู้และศึกษาค้นคว้าเพื่อนำความรู้ด้านคอมพิวเตอร์มาใช้สร้างนวัตกรรมหรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่
สาระการเรียนรู้
๑.วงจรการพัฒนาระบบสารสนเทศ
๒.การพัฒนาโครงงานคอมพิวเตอร์
๓.ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์
๔.ขั้นตอนการทำโครงงานคอมพิวเตอร์



กิจกรรมฝึกทักษะที่ควรเพิ่มให้นักเรียน
๑.อธิบายวงจรการพัฒนาระบบสารสนเทศได้
๒.จำแนกประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์ได้
๓.บอกขั้นตอนการทำโครงงานคอมพิวเตอร์ได้

การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการแก้ปัญหานั้น มนุษย์ต้องการนำมาช่วยเพื่อให้สามารถทำงานได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งส่วนมากการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการทำงานนั้น จะต้องศึกษาถึงความเป็นไปได้ ความเหมาะสมในการทำงาน และความคุ้มค่าต่อการลงทุน ดังนั้น เทคโนโลยีสารสนเทศจะเหมาะกับงานที่มีปริมาณมาก งานที่ต้องทำซ้ำ ๆ และงานที่ต้องการความรวดเร็วในการประมวลผลเนื่องจากคุณสมบัติของระบบคอมพิวเตอร์จะช่วยให้ทำงานได้เร็ว ประมวลผลถูกต้อง และมีหน่วยความจำที่สามารถจัดเก็บข้อมูลได้ปริมาณมากแล้ว เมื่อนำระบบคอมพิวเตอร์มาเชื่อมต่อกันโดยใช้การสื่อสารรูปแบบต่างๆ เข้ามาช่วยให้เกิดเป็นระบบเทคโนโลยีสารสนเทศก็จะสามารถเผยแพร่ข้อมูลไปได้ในระยะไกลๆ หรือสามารถนำข้อมูลที่มีมาใช้ร่วมกันได้ ทำให้สามารถประมวลผลได้รวดเร็วขึ้น และสามารถประมวลผลในรูปแบบกระจายได้
จะเห็นได้ว่าในหน่วยงานต่างๆ ได้นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในหน่วยงานเป็นการรองรับการให้บริการในด้านต่างๆ เช่น งานการขายสินค้าในห้างสรรพสินค้า ซึ่งมีจุดขายสินค้าได้หลายจุดในห้างสรรพสินค้า ระบบงานธนาคาร ที่สามารถเชื่อมต่อไปยังธนาคารสาขาและธนาคารอื่นๆได้ หรือในสถานศึกษาก็จะนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ ในการจัดเก็บข้อมูลของนักเรียนในรูปแบบของฐานข้อมูล และเชื่อมต่อระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ไปยังงานทะเบียน งานวัดผล งานวิชาการ งานการเงิน เป็นต้น ในแต่ละงานก็สามารถใช้ฐานข้อมูลร่วมกันได้ การลบหรือแก้ไขข้อมูลนักเรียนก็จะทำได้ง่าย ทำให้ข้อมูลมีความถูกต้องและลดความซ้ำซ้อนในการทำงาน





วงจรการพัฒนาระบบสารสนเทศ
เมื่อเกิดปัญหาหรือมีคามยุ่งยากในการทำงาน มนุษย์จะหาวิธีการในการแก้ปัญหาหาโดยการศึกษาจากระบบงานเดิม แต่ต้องนำมาพัฒนาให้ดีขึ้น ดังนั้นสามารถสรุปวิธีการแก้ปัญหาด้วยกระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยใช้หลักการวิเคราะห์และออกแบบระบบ มีวงจรการพัฒนาระบบสารสนเทศ (System Development Life Cycle : SDLC) ๗ ขั้นตอนดังนี้
๑. การกำหนดปัญหา ( Problem Defintion)
การกำหนดปัญหาของระบบงานเดิม หรือระบบงานที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
และการกำหนดปัญหาก็จะเป็นขั้นตอนของการกำหนดขอบเขตของระบบงาน ศึกษาความเป็นไปได้ของระบบงานใหม่ ความต้องการระบบงานของผู้ใช้ นำข้อมูลเหล่านี้มาสรุปเป็นขั้นตอนและขอบเขตในการจัดทำระบบงานใหม่
๒. การวิเคราะห์ ( Analysis )
การวิเคราะห์ระบบงานที่ดำเนินงานอยู่ในปัจจุบัน วิเคราะห์ความต้องการระบบงานใหม่ นำมาสร้างเป็นแบบจำลอง และสร้างเป็นแผนภาพ ( Data Flow Diagram : DFD) เพื่อดูการเชื่อมโยงข้อมูลในแต่ละส่วนการแบ่งขอบเขตของงานฐานข้อมูลที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องในระบบงาน
๓.การออกแบบ ( Desing)
การออกแบบเป็นการนำขั้นตอนจากการวิเคราะห์มาออกแบบ เพื่อสามารถนำระบบนี้ ไปปฏิบัติงานได้จริง การออกแบบเป็นขั้นตอนตั้งแต่การออกแบบการนำข้อมูลเข้า รูปแบบการรับข้อมูล การประมวลผลข้อมูล และการแสดงผลข้อมูลทางจอภาพ ทางรายงาน ในรูปแบบฟอร์มต่างๆในตาละส่วนของหน่วยงาน รวมทั้งการออกแบบฐานข้อมูล
๔.การพัฒนา ( Development )
พัฒนาโปรแกรมด้วยการเลือกภาษาคอมพิวเตอร์ที่เหมาะสมมาใช้ ตามขั้นตอนของระบบงานที่ได้ออกแบบไว้แล้ว ขั้นตอนของการพัฒนาอาจใช้เครื่องมือ CASE Tool ( Computer Aided Software Engineering ) มาช่วย เมื่อทำการพัฒนาระบบเสร็จเรียบร้อยแล้ว จะต้องจัดทำเอกสารประกอบโปรแกรมต่อไป
๕.การทดสอบ ( Testing )
การทดสอบเป็นขั้นตอนของการทดสอบก่อนที่จะนำระบบไปติดตั้งเพื่อใช้งานจริง ซึ่งจะทดสอบทั้งความถูกต้องตามโครงสร้างของภาษาที่ใช้ในการพัฒนาและความถูกต้องตามความต้องการของผู้ใช้ เมื่อทดสอบระบบถูกต้องพร้อมที่จะนำไปติดตั้งใช้งานแล้วต้องทำการอบรมการใช้ระบบให้แก่ผู้ใช้ด้วย
๖.การติดตั้ง ( Implementation )
การติดตั้งระบบเพื่อใช้งานจริง สามารถนำระบบงานใหม่มาติดตั้งเพื่อใช้งานได้ ๓ ลักษณะ คือ
๖.๑ นำระบบงานใหม่ทำคู่ขนานไปกับระบบงานเดิมเพื่อเป็นการตรวจสอบความถูกต้องไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งวิธีนี้เมื่อระบบใหม่มีปัญหา ก็ยังคงมีระบบเดิมรองรับอยู่ จะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายในการทำงาน
๖.๒ นำระบบงานใหม่มาใช้แทนที่ระบบงานเดิมทีละส่วนของงาน เป็นวิธีการที่ไม่ได้ทำการเปลี่ยนแปลงทั้งระบบในครั้งเดียว แต่จะปรับเปลี่ยนไปครั้งละแผนกหรืองาน เมื่อแผนกใดพร้อมทั้งอุปกรณ์และบุคลากรก็จะทำการเปลี่ยนแปลง
๖.๓ ทำการเปลี่ยนแปลงใหม่ทั้งระบบพร้อมกัน ซึงวิธีนี้จะมีความเสี่ยงสูง เพราะถ้าระบบใหม่ยังมีข้อผิดพลาดทำให้การทำงานเกิดข้อผิดพลาดไปด้วย
๗.การบำรุงรักษา ( Maintenance )
การบำรุงรักษาจะแบ่งออกเป็น ๒ ด้าน คือ
๗.๑ การบำรุงรักษาด้านซอฟแวร์ เช่น เมื่อติดตั้งระบบเพื่อใช้งานในสถานการณ์จริงอาจเกิดข้อผิดพลาดในการทำงาน หรือผู้ใช้ต้องการเพิ่มเติมระบบงาน
๗.๒ การบำรุงรักษาด้านฮาร์ดแวร์ คือ การดูแลอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้อยู่ในสภาพที่สามารถใช้งานได้ ซึ่งอุปกรณ์เหล่านั้นจะถูกตรวจเช็กตามระยะเวลาในการใช้งาน
การพัฒนาโครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์ เป็นการศึกษาอย่างอิสระสำหรับผู้เรียน โดยนำความรู้ที่ศึกษามารวบรวมเป็นองค์ความรู้เพื่อสร้างให้เป็นนวัตกรรมหรือสิ่งประดิษฐ์ โดยใช้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือในการสร้างงาน ซึ่งเป็นการเพิ่มพูนฝึกฝนทักษะด้านคอมพิวเตอร์ เนื่องจากจุดมุ่งหมายหลักในการเรียนการสอนคอมพิวเตอร์ในโรงเรียน เพื่อต้องการให้นักเรียนได้มีความสามารถและความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ และนำความรู้นั้นไปใช้ในแก้ไขปัญหา หรือประดิษฐ์คิดค้นความรู้ใหม่ๆจากเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
กิจกรรมของโครงงานคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วยองค์ประกอบหลักดังนี้
๑.โครงงานคอมพิวเตอร์เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
๒.นักเรียนสามารถเลือกเรื่อง หรือหัวข้อที่ต้องการศึกษาค้นคว้าตามความสนใจได้
๓.นักเรียนคิดค้นนวัตกรรมหรือสิ่งประดิษฐ์ด้วยตนเอง ตามความรู้ความสามารถที่ได้ศึกษามา
๔.นักเรียนต้องสามารถศึกษา สรุป วางแผน และนำเสนองานตามขั้นตอนของโครงงานด้วยตนเอง โดยมีครูเป็นที่ปรึกษาโครงงาน
โครงงานคอมพิวเตอร์จัดเป็นงานวิจัยระดับมัธยมศึกษา ดังนั้นครูผู้สอนต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนได้พัฒนาความรู้แสดงความสามารถตามศักยภาพของนักเรียน เป็นการเปิดโอกาสและส่งเสริมให้นักเรียนสามารถศึกษาค้นคว้าและเรียนรู้ในเรื่องที่สนใจได้อย่างอิสระทั้งภายในและภายนอกห้องเรียน การจัดทำโครงงานยังเป็นการส่งเสริมพัฒนาการคิดอย่างมีระบบการแก้ปัญหาการตัดสินใจ สร้างความรับผิดชอบในการทำงานให้แก่นักเรียนได้เป็นอย่างดี และยังส่งเสริมให้นักเรียนได้ใช้เวลาในการคิดสร้างสรรค์ในสิ่งที่เป็นประโยชน์
ซึ่งเป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่จะกระตุ้นความสนใจด้านคอมพิวเตอร์ให้แก่นักเรียน ทำให้นักเรียนรู้ถึงศักยภาพและความสามารถของตนเอง ถ้านักเรียนคนใดมีความสนใจด้านคอมพิวเตอร์ก็จะนำความรู้นี้ไปศึกษาต่อ และประกอบอาชีพได้ในอนาคต และการทำโครงงานไม่ได้เป็นเพียงการศึกษาด้านคอมพิวเตอร์ในรูปแบบต่างๆเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปใช้บูรณาการกับวิชาอื่นๆที่เกี่ยวข้องกันได้ ซึ่งตรงตามจุดประสงค์ของการเรียนแบบบูรณาการในปัจจุบัน

ประเภทของโครงงานคอมพิวเตอร์
โครงงานคอมพิวเตอร์ประกอบด้วย ๕ ประเภทดังนี้
๑. โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา
โครงงานประเภทนี้ เป็นการใช้คอมพิวเตอร์ผลิตสื่อการเรียนการสอน โดยสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ซึ่งจะประกอบด้วยเนื้อหาแต่ละหน่วยการเรียน แบบฝึกหัดการทดสอบก่อนเรียน และทดสอบหลังเรียน เป็นต้น โดยที่ครูจะใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอนนี้ เป็นอุปกรณ์ในการช่วยซ่อมเสริม หรือนำมาใช้ในการทบทวนบทเรียนให้แก่นักเรียนก็ได้ จะทำให้นักเรียนสมารถเรียนเพิ่มเติม หรือทบทวนในเนื้อหาที่ยังไม่เข้าใจได้
๒.โครงงานพัฒนาเครื่องมือ
โครงงานประเภทนี้เป็นการพัฒนาซอฟต์แวร์ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการทำงานด้านต่างๆ เช่น ซอฟต์แวร์ช่วยในการฝึกพิมพ์ดีด ซึ่งแต่ก่อนจะใช้เครื่องพิมพ์ดีด แต่ในปัจจุบันความนิยมในการใช้พิมพ์ดีดน้อยลงแต่ในการใช้คอมพิวเตอร์มากขึ้น ซึ่งนำ ๒ สิ่งนี้มาประยุกต์ใช้ร่วมกัน เพราะการพิมพ์งานที่ถูกต้องต้องมีทักษะด้านการพิมพ์เหมือนกับเราเรียนพิมพ์ดีด แต่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์แทนเครื่องพิมพ์ดีด และหลักการพิมพ์แต่ละขั้นตอน ก็ถูกพัฒนาซอฟต์แวร์ เนื่องจากอักษรของแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์นั้นเหมือนกับแป้นพิมพ์ดีด
โครงงานพัฒนาเครื่องมือประเภทอื่นๆ เช่น ซอฟต์แวร์ในการสร้างภาพ ซอฟต์แวร์ในการคำนวณระยะทาง หรือซอฟต์แวร์หมอดู เป็นต้น ซึ่งนักเรียนมีความสนใจด้านใด ก็สามารถพัฒนาซอฟต์แวร์ สำหรับเป็นเครื่องมือเพื่อประยุกต์ใช้งานกับเหล่านั้น
๓.โครงงานจำลองทฤษฎี
โครงงานจำลองทฤษฎี จะพัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยการจำลองทฤษฎีสาขาต่างๆ ที่ไม่สามารถใช้เหตุการณ์ หรือสถานการณ์จริงได้เป็นโครงงานที่นักเรียนจะต้องศึกษาค้นคว้าความรู้ หลักการ แนวคิด และข้อเท็จจริงต่างๆ ของทฤษฎีนั้นอย่างลึกซึ้ง และสร้างแบบจำลองเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นมา ซึ่งโครงงานนี้จะเป็นการสร้างองค์ความรู้และการบูรณาการความรู้อย่างชัดเจน เช่น โครงงานจำลองอุกาบาตรชนโลก จะต้องศึกษาทั้งทฤษฎีด้านคอมพิวเตอร์ วิทยาศาสตร์ และดาราศาสตร์ และนำความรู้ที่ได้มาบูรณาการ เพื่อความถูกต้องตามหลักทฤษฎี
โครงงานจำลองทฤษฎี จะเห็นว่าบริษัทผลิตรถยนต์ได้นำมาใช้ในการสร้างเหตุการณ์จำลอง ในการทดสอบความปลอดภัยของรถยนต์เมื่อรถยนต์พุ่งชนกำแพง คนขับจะมีความปลอดภัยในระดับใด จะใช้หลักการคำนวณตามหลักวิทยาศาสตร์ เมื่อมีความเร็วของรถยนต์ผสมผสานกับแรงกระแทกจะเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น
นอกจากนี้โครงงานจำลองทฤษฎี สามารถนำมาทดลองในเรื่องต่าง ๆ ได้อีก เช่น การทดลองสภาวะโลกร้อน การทดลองการขับเครื่องบิน การทดลองระบบสุริยะจักรวาล เป็นต้น
๔.โครงงานประยุกต์ใช้งาน
โครงงานประยุกต์ใช้งาน เป็นโครงงานที่พัฒนาซอฟต์แวร์ เพื่อนำมาประยุกต์ใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะพบว่าปัจจุบันได้พัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับการประยุกต์ใช้งานด้านต่าง ๆ มากมาย เช่นซอฟต์แวร์สำหรับการออกแบบและตกแต่งภายใน ในร้านขายวัสดุก่อสร้าง ได้นำซอฟต์แวร์ประเภทนี้มาช่วยในการตัดสินใจให้แก่ลูกค้า โดยจะสร้างการจำลองตามความต้องการของลูกค้าและลูกค้าก็จะเห็นภาพ เสมือนจริงนั้น ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนแก้ไขได้ในทันที โครงงานประยุกต์ใช้งานจะเป็นการประดิษฐ์ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นการคิดประดิษฐ์นวัตกรรมใหม่ ๆ หรือเป็นการพัฒนาปรับเปลี่ยนของเดิมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ประเภทโครงงานประยุกต์ใช้งานอย่างมากมายในปัจจุบันเพราะมนุษย์ต้องการความสะดวกและรวดเร็ว นอกจากซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นมาจะใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์แล้ว ยังสามารถนำไปใช้กับอุปกรณ์อื่น ๆ ได้อีก เช่น โทรศัพท์มือถือ เครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา หรือพีดีเอ(PDA: Personal Digital Assistants) ปาล์มคอมพิวเตอร์ (Palm Computer) เป็นต้น
โครงงานประยุกต์ใช้งานในชีวิตประจำวัน เช่น ซอฟแวร์การตรวจสอบสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ซอฟต์แวร์การออกแบบผลิตภัณฑ์ ซอฟต์แวร์การตรวจสอบบุคคล เป็นต้น


๕.โครงงานพัฒนาเกม
ในปัจจุบันเกมคอมพิวเตอร์ ได้เข้ามามีบทบาทต่อเยาวชนอย่างยิ่ง ดังนั้นโครงงานพัฒนาเกม จึงเป็นอีกโครงงานที่จะส่งเสริมการสร้างเกมจากจินตนาการของนักเรียน ซึ่งจะทำให้ได้เกมสีขาวที่ไม่มีพิษภัยต่อผู้เล่น หรือเป็นการสร้างเกมในเชิงสร้างสรรค์ โดยใช้ตัวละครตามวรรณคดีเป็นผู้เล่น เช่น เกมผจญภัยทะลุมิติ แต่ตัวละครในเกมจะใช้เป็นหนุมาน พระลักษณ์ พระราม นางสีดา และทศกัณฐ์ ซึ่งเป็นตัวละครในรามเกียรติ์ เป็นการผสมผสานความรู้ด้านวรรณคดีได้เป็นอย่างดี และทำให้ผู้เล่นเกมมีความเข้าใจ สามารถจำลักษณะของตัวละครเหล่านั้นได้ กฎกติกาการเล่นเกมผู้พัฒนาโครงงานสามารถกำหนดขึ้นมาได้เองตามความเหมาะสมหรือพัฒนาเกมประเภทฝึกสมอง ประลองปัญญา เช่น เกมจับคู่ เกมทายคำศัพท์ภาษาอังกฤษเป็นต้น จึงเป็นอีกรูปแบบของโครงงานประเภทนี้ หรือนำบทเรียนที่ยากต่อการท่องจำมาสร้างในลักษณะของเกมจะช่วยให้ผู้เล่นนอกจากได้รับความบันเทิงแล้ว ยังเป็นการท่องจำบทเรียนไปพร้อมกันด้วย
ดังนั้นการสร้างสรรค์เกมและสอดแทรกความรู้เข้าไปก็จะมีประโยชน์มากสำหรับผู้เล่นและผู้ประดิษฐ์คิดค้น
ซึ่งการจัดทำโครงงานคอมพิวเตอร์นั้น นักเรียนจะต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับ
๑.หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์
๒.กระบวนการและหลักการในการแก้ปัญหา
๓.หลักการเขียนโปรแกรม
๔.การแทนข้อมูลในคอมพิวเตอร์
จากโครงงานทั้ง ๕ ประเภทนี้ นักเรียนสามารถคิดสร้างสรรค์จากความสนใจและตามจินตนาการของตนเองได้อย่างอิสระ เป็นการเปิดโลกกว้างทางความคิด แต่จะอยู่ภายใต้การให้คำปรึกษาที่ดีของครู




ขั้นตอนการทำโครงงานคอมพิวเตอร์
๑.เลือกหัวข้อโครงงานที่สนใจ
๒.ศึกษาค้นคว้าข้อมูลและทฤษฎีต่างๆ เพื่อใช้ประกอบตามโครงงาน
๓.จัดทำเค้าโครงของโครงงานในแต่ละขั้นตอน เพื่อเป็นกรอบแนวคิด แนวทางในการจัดทำโครงงาน และวางแผนการดำเนินงานตามขั้นตอน นำเสนอครูที่ปรึกษา หรือผู้เชี่ยวชาญที่จะให้คำปรึกษาในการจัดทำโครงงาน
๔.จัดหาอุปกรณ์ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ หรือเครื่องมือต่างๆ ที่จะใช้ตามโครงงาน
๕.เริ่มปฏิบัติงานตามโครงงาน
๖.การเขียนรายงานการจัดทำโครงงาน
๗.การนำเสนอและเผยแพร่โครงงาน
องค์ประกอบเค้าโครงงานของโครงงาน ประกอบด้วย
๑.ชื่อโครงงาน โดยระบุประเภทของโครงงานอย่างชัดเจน
๒.ชื่อ นามสกุล ผู้จัดทำโครงงาน
๓.ชื่อ นามสกุล ครูที่ปรึกษาโครงงาน
๔.ระยะเวลาดำเนินงาน
๕.แนวคิด ที่มา และความสำคัญของโครงงาน อธิบายแนวความคิดของการจัดทำโครงงานนี้ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ผู้อื่นทำไว้แล้ว ต้องบอกถึงการปรับปรุง การเพิ่มเติม และประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น
๖.วัตถุประสงค์ของโครงงาน บอกวัตถุประสงค์ในการจัดทำโครงงานเป็นข้อๆ
๗.หลักการและทฤษฎี โดยอธิบายถึงหลักการและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับโครงงาน
๘.วิธีดำเนินงาน โดยจะระบุ

๘.๑วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้
๘.๒คุณลักษณะของผลงาน
๘.๓เทคนิคที่ใช้ในการพัฒนา
๘.๔กระบวนในการแก้ปัญหา
๘.๕วิธีการเก็บข้อมูล
๘.๖วิธีการพัฒนา
๘.๗การทดสอบ
๘.๘การนำเสนอผลงาน
๘.๙งบประมาณในการดำเนินโครงงาน
๙.แผนปฏิบัติงาน ให้ระบุการปฏิบัติงานเป็นขั้นตอนตามลำดับ
๑๐.ผลที่คาดว่าจะได้รับจากการทำโครงงานนี้
๑๑.เอกสารอ้างอิงที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า เพื่อนำมาจัดทำเป็นโครงงานนี้
สรุป
วิธีการในการแก้ปัญหาด้วยกระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้ใช้การวิเคราะห์และออกแบบระบบ มีวงจรการพัฒนาระบบสารสนเทศ (SDLC) ๗ ขั้นตอน ซึ่งประกอบด้วยการกำหนดปัญหา การวิเคราะห์ การออกแบบ การพัฒนา การทดสอบ การติดตั้ง และการบำรุงรักษา การนำโครงงานคอมพิวเตอร์เพื่อให้นักเรียนศึกษาค้นคว้าอย่างอิสระในเรื่องที่สนใจ จะแบ่งประเภทของโครงงานออกเป็น ๕ ประเภท ได้แก่ โครงงานพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษา โครงงานพัฒนาเครื่องมือ โครงงานจำลองทฤษฎี โครงงานประยุกต์ใช้งาน และโครงงานพัฒนาระบบ


กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้
๑.แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม กลุ่มละ ๔-๕ คน ให้ช่วยกันช่วยกันระดมความคิดเรื่อง การพัฒนาโครงงานด้านคอมพิวเตอร์ นักเรียนจะพัฒนาโครงงานประเภทใด และมีวัตถุประสงค์ในการทำโครงงานนี้อย่างไร
๒.ให้นักเรียนเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการจัดทำโครงงานตามรายวิชา นักเรียนคิดว่าการพัฒนาโครงงานเหล่านั้นนักเรียนจะได้ประโยชน์อย่างไร
๓.ให้นักเรียนเสนอความคิดเห็นว่า การพัฒนาสื่อเพื่อการศึกษาในรูปแบบต่างๆ จะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างไรต่อนักเรียน และนักเรียนคิดว่าจะลดช่องว่างทางการศึกษาระหว่างนักเรียนในชนบทกับนักเรียนที่อยู่ในเมืองได้หรือไม่

วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

บทที่ 11 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ

ข้อเสนอแนะสำหรับครูและผู้ปกครอง
บนเรียนนี้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
มาตรฐาน ง 2.1 เข้าใจเทคโนโลยีและกระบวนการเทคโนโลยี ออกแบบและสร้างสิ่งของเครื่องใช้หรือวิธีการตามกระบวนการ เทคโนโลยีอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ เลือกใช้เทคโนโลยีในทางสร้างสรรค์ต่อชีวิต สังคม สิ่งแวดล้อม และมีส่วน ร่วมในการจัดการเทคโนโลยี
มาตรฐาน ง 3.1 เข้าใจ เห็นคุณค่า และใช้กระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศในการสืบค้นข้อมูลการเรียนรู้ การสื่อสาร การ แก้ปัญหา การทำงาน และอาชีพอย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผล และมีคุณธรรม
ตัวชี้วัด : สิ่งที่นักเรียนพึงรู้และปฏิบัติได้
ง 2.1 (3) สร้างและพัฒนาสิ่งของเครื่องใช้หรือวิธีการตามกระบวนการเทคโนโลยีอย่างปลอดภัยโดยถ่ายทอด ความคิดเป็นภาพฉายและแบบจำลองเพื่อนำไปสู่การสร้างชิ้นงาน หรือถ่ายทอดความคิดของวิธีการ เป็นแบบจำลองความคิดและการรายงานผลโดยใช้ซอฟแวร์ช่วยในการออกแบบหรือนำเสนอผลงาน
ง 2.1 (4) มีความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการในการที่ผลิตเอง หรือการพัฒนา ผลิตภัณฑ์ที่ผู้อื่นผลิต
ง 2.1 (5) วิเคราะห์และเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับชีวิตประจำวันอย่างสร้างสรรค์ต่อชีวิต สังคมและ สิ่งแวดล้อม และมีการจัดการเทคโนโลยีที่ยั่งยืนด้วยวิธีการของเทคโนโลยีสะอาด
ง 3.1 (9) ติดต่อสื่อสาร ค้นหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต
ง 3.1 (10) ใช้คอมพิวเตอร์ในการประมวลผลข้อมูลให้สารสนเทศ เพื่อประกอบการตัดสินใจ
ง 3.1 (11) ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศนำเสนองานในรูปแบบที่เหมาะสม ตรงตามวัตถุประสงค์ของงาน
ง 3.1 (12) ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสร้างชิ้นงานหรือโครงงานอย่างมีจิตสำนึกและความรับผิดชอบ
ง 3.1 (13) บอกข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
แนวคิด
ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และความต้องการด้านข้อมูลข่าวสารมีอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้เทคโนโลยีสารสนเทศพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว มีหน่วยงานต่าง ๆ ได้เห็นถึงความสำคัญในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ในงาน ทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน
สาระการเรียนรู้
1. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการศึกษา
2. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการจัดการสำนักงาน
3. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการแพทย์
4. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการบริหารภาครัฐ
5. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการสื่อสารและโทรคมนาคม
6. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านความบันเทิง
กิจกรรมฝึกทักษะที่ควรเพิ่มให้นักเรียน
1. บอกการนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปประยุกต์ใช้ในด้านการศึกษาได้
2. บอกการนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปประยุกต์ใช้ในด้านการจัดการสำนักงานได้
3. บอกการนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปประยุกต์ใช้ในด้านการแพทย์ได้
4. บอกการนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปประยุกต์ใช้ในด้านการบริหารภาครัฐได้
5. บอกการนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปประยุกต์ใช้ในด้านการสื่อสารและโทรคมนาคมได้
6. บอกการนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปประยุกต์ใช้ในด้านความบันเทิงได้
ปัจจุบันมีเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัย ประกอบกับมีความต้องการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศจากงานหลาย ๆ ด้าน จึงเห็นว่าการทำงาน หรือการประมวลผลข้อมูลได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยเพื่อก่อให้เกิดงานที่มีความถูกต้อง รวดเร็ว และสามารถเชื่อมต่อระบบงานนี้ไปยังเครือข่ายทั้งภายในหน่วยงานและภายนอกหน่วยงานได้อย่างแพร่หลาย
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการศึกษา
การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ในด้านการศึกษาได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเพื่อเพิ่มช่องทางในการศึกษาให้กับผู้เรียน นอกจากเป็นการเรียนภายในห้องเรียนแล้ว ยังสามารถทำเป็นบทเรียนเพื่อให้ผู้เรียนได้นำมาเรียนเพิ่มเติมหรือเป็นการทบทวนนอกเวลาเรียนได้อีกด้วยการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยีกับการศึกษา ได้แก่
1. การเรียนรู้แบบบทเรียนออนไลน์ (E-learning)
การเรียนรู้แบบบทเรียนออนไลน์ เป็นการเรียนที่จะสร้างบทเรียน เพื่อให้ผู้เรียนเลือกเรียนได้ตามความสนใจ ผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต บนเรียนต่าง ๆ เหล่านั้นจะประกอบด้วยภาพ เสียง เนื้อหาบทเรียน หรือบทเรียนมัลติมีเดีย ผู้เรียนสามารถเลือกเวลาในการเรียนได้เอง เพราะเป็นรูปแบบการเรียนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่และทุกเวลา การให้บริการแบบบทเรียนออนไลน์จะประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ
1. เนื้อหาบทเรียน
2. ระบบบริหารจัดการการเรียน เพื่อกำหนดลำดับของเนื้อหาบทเรียน กำหนดเกณฑ์หรือเงื่อนไขในการเรียน กำหนดการทดสอบเพื่อวัดความรู้ของผู้เรียน กำหนดเกณฑ์ผ่านในแต่ละบทเรียน ตลอดทั้งการกำหนดระยะเวลาในการเรียนของผู้เรียนแต่ละคน
3. การติดต่อสื่อสาร การเรียนแบบบทเรียนออนไลน์ ผู้เรียนสามารถที่จะติดต่อกับผู้สอนหรือเจ้าของบทเรียนได้ โดยจะใช้วิธีการสื่อสารผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เช่น Chat Webboard E-mail เป็นต้น
2. การเรียนผ่านทางระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ในระบบการศึกษานอกจากทำบทเรียนออนไลน์ เพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาเพิ่มเติมแล้วในมหาวิทยาลัยต่างประเทศหลายๆแห่ง ได้จัดทำหลักสูตรการเรียนในระบบการเรียนการสอนผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อขยายโอกาสทางการศึกษาไปยังประชาชนในภูมิภาคอื่นๆ ทำให้ผู้เรียนไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายสูง ในการเดินทางไปเรียนในต่างประเทศ รายละเอียดของหลักสูตร กิจกรรมระหว่างเรียน การวัดผลการเรียน เกณฑ์การประเมินต่างๆ และการติดต่อระหว่างอาจารย์กับนักศึกษา หรือระหว่างมหาวิทยาลัยกับนักศึกษาจะใช้วิธีการสื่อสารผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทั้งสิ้น เมื่อเรียนจบตามหลักสูตรนักศึกษาก็จะได้รับปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยมีความเท่าเทียมกับนักศึกษาที่เรียนอยู่ภายในมหาวิทยาลัยทุกประการ สามารถเรียกได้ว่า “มหาวิทยาลัยเสมือน” หรือในทางการศึกษามักจะเรียกว่า “มหาวิทยาลัยไซเบอร์”
สำหรับประเทศไทย การเรียนในหลักสูตรของมหาวิทยาลัยเสมือนนั้น ทางกระทรวงศึกษาธิการมีข้อบังคับว่า ต้องมีการสอบจริงในทุกห้องสอบทุกภาคการศึกษา โดยมีอาจารย์ผู้ทำหน้าที่ควบคุมห้องสอบ และมีอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจข้อสอบ เมื่อเรียนจบแล้วนักศึกษาจะต้องมีคุณภาพไม่ด้อยกว่านักศึกษาในภาคปกติ สามารถนำความรู้ไปทำงานได้จริง และเสริมคุณค่าให้กับวิชาชีพในการทำงานได้ดีขึ้น มหาวิทยาลัยเสมือนในประเทศไทย เช่น มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมมาธิราช และมหาวิทยาลัยรังสิต เป็นต้น
3.ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ (E-library)
ระบบงานห้องสมุดเป็นระบบงานที่มีข้อมูลและขั้นตอนการดำเนินงานอยู่หลายขั้นตอนจึงนิยมนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการจัดการภายในระบบ โดยจัดทำเป็นโปรแกรมระบบงานห้องสมุด เพื่อลดความยุ่งยากของงาน
เมื่อได้พัฒนางานจากระบบงานห้องสมุดเดิม มาเป็นห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์นั้น ผู้ใช้สามารถสืบค้นข้อมูลของหนังสือที่ต้องการผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ที่ให้บริการอยู่ภายในห้องสมุดได้ด้วยตนเอง
นอกจากนี้การจัดเก็บข้อมูลนักศึกษาในฐานข้อมูลของสถานศึกษาต่างๆก็สามารถนำข้อมูลนักศึกษามาเชื่อมโยงเข้ากับระบบงานห้องสมุดได้ โดยใช้บัตรนักศึกษาที่สถานศึกษาจัดทำขึ้นเป็นบัตรสมาชิกห้องสมุดได้ทันที จะทำให้มีความสะดวกมากขึ้น ไม่ทำให้เกิดความซ้ำซ้อนของระบบงานอยู่ภายในหน่วยงานเดียวกัน
ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์สามารถจัดทำเว็บไซต์ของห้องสมุด ทำให้ผู้ใช้สามารถสืบค้นข้อมูลของหนังสือได้ทุกที่และทำการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของสมุดได้อีกด้วย นอกจานี้สิ่งพิมพ์หือหนังสือต่างๆ สามารถนำมาจัดทำในรูปแบบของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์(E-book)ได้ โดยไม่จำเป็นต้องมานั่งอ่านอยู่ภายในห้องสมุดเพียงอย่างเดียวผู้อ่านสามารถดาวน์โหลดหนังสืออิเล็กทรอนิกส์(E-book) ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ทันที หนังสืออิเล็กทรอนิกส์จะมีลักษณะไฟล์ 4 รูปแบบ คือ
1. HTML : Hyper Text Markup Language
2. PDF :Portable Document Format
3. PML : Peanut Markup Language
4. XML : Extensive Markup Language
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการจัดการสำนักงาน
ปัจจุบันมีหน่วยงานหลายหน่วยงานได้นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้บริหารจัดการภายในสำนักงาน รียกว่า “ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ หรือ MIS” เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และถูกต้องในด้านข้อมูล ภายในหน่วยงานจะประกอบด้วยฝ่ายต่างๆที่ต้องใช้ข้อมูลร่วมกันสามารถเชื่อมต่อระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายในหน่วยงาน
นอกจากการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยใช้โปรแกรมระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการมาใช้ภายในหน่วยงานได้นำรูปแบบการบริการและการใช้งานบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมาใช้ภายในหน่วยงานอีกด้วย จะเรียกรูปแบบของเครือข่ายนี้ว่า “เครือข่ายอินทราเน็ต(Intranet)” เป็นเครือข่ายภายในหน่วยงานหรือองค์กรโดยจัดทำในรูปแบบของเว็บไซต์เพื่อเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลของหน่วยงานและจัดเก็บข้อมูลข่าวสาร หรือคำสั่งต่างๆไว้ในเว็บไซต์
สำหรับในสถานศึกษาได้นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริหารจัดการข้อมูลด้วยเช่นกัน นอกจากเป็นการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ผ่านทางเว็บไซต์ของสถานศึกษาแล้วยังช่วยให้นักเรียนนักศึกษาและผู้ปกครองสามารถเข้ามาตรวจสอบข้อมูลของนักเรียนนักศึกษาได้
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการแพทย์
ด้านการแพทย์ได้นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้สำหรับการจัดการงานด้านต่างๆภายในโรงพยาบาล ยังมีระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การสร้างเครือข่ายทางการแพทย์ การรักษาผู้ป่วย การให้ความรู้และการสอนทางไกลผ่านทางระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ เป็นต้น
เนื่องจากในประเทศไทยบุคลากรทางการแพทย์มีจำนวนไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน และแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมักจะอยู่ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่เท่านั้น ดังนั้นทางกระทรวงสาธารณสุขจึงนำระบบแพทย์ทางไกลมาใช้ในการแก้ปัญหาโดยนำเทคโนโลยีด้านการสื่อสารมาประยุกต์ใช้ควบคู่ไปกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อแพทย์ที่ทำการรักษาผู้ป่วยในชนบทสามารถสื่อสารกับแพทย์ในเครือข่ายเดียวกันได้ ทำให้แพทย์ที่อยู่ปลายทางสามารถเห็นทั้งภาพและเสียงของผู้ป่วย ทำให้ได้ข้อมูลของผู้ป่วยเพื่อนำไปวิเคราะห์โรคและหาทางรักษาผู้ป่วยร่วมกันได้ เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างแพทย์ในชนบทกับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านได้ กรณีนี้จะช่วยให้สามารถทำการรักษาผู้ป่วยได้ทันเวลา
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการบริหารงานภาครัฐ
ภารกิจหลักของนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาประเทศ คือ การปฏิรูปภาครัฐโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ดังนั้น การบริหารจัดการภาครัฐสมัยใหม่ จึงได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มในการดำเนินงาน ที่เรียกว่า “ระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-government)
ระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากจะนำมาใช้สำหรับการบริหารงานจัดการภาครัฐอย่างทันสมัยและมีประสิทธิภาพแล้ว ยังปรับปรุงเพื่อนำมาให้บริการแก่ประชาชน ทั้งในด้านข้อมลข่าวสารและการให้บริการด้านธุรกรรมกับภาครัฐอย่างทั่วถึง เพื่อส่งเสริมการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม การสื่อสารด้วยระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือสำคัญในการเข้าถึงการบริการของภาครัฐ โดยได้รับความร่วมมือจาก 3 ฝ่าย ได้แก่ ภาครัฐ ภาคธุรกิจ และประชาชน ทำให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงภาครัฐได้อย่างเท่าเทียมกัน
ระบบภาครัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์จัดแบ่งความต้องการของผู้ใช้บริการออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ ประชาชน ธุรกิจ ข้าราชการ และพนักงานของรัฐ รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐทั้งในและต่างประเทศสามารถจัดรูปแบบของการให้บริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ออกเป็น 4 รูปแบบ คือ
1. ภาครัฐต่อประชาชน (Government to Citizen : G2C)
2. ภาครัฐต่อเอกชน (Government to Business : G2B)
3. ภาครัฐต่อภาครัฐ (Government to Government : G2G)
4. ภาครัฐต่อข้าราชการและพนักงานของรัฐ (Government to Employees : G2E)
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการสื่อสารและโทรคมนาคม
ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีด้านการสื่อสารมีความทันสมัยมากขึ้นและมีรู)แบบของการสื่อสารและช่องทางได้แก่ โทรศัพท์ ดาวเทียม เคเบิลทีวี อินเตอร์เน็ต เป็นต้น จึงทำให้มนุษย์สามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารระหว่างกันและกันได้ อย่างสะดวกและรวดเร็ว เทคโนโลยีการสื่อสารต่างๆจะช่วยให้เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านความบันเทิง
ด้านความบันเทิงได้นำนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีและเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ ก่อให้เกิดรูปแบบของ “อีซีนีมา” เป็นการบริการสมาชิกหรือลูกค้าแบบออนไลน์

สรุป
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้กับงานหลายๆด้าน เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการทำงานได้แก่
1.การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการศึกษา เช่น การเรียนรู้แบบบทเรียนออนไลน์ การเรียนรู้ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ห้องสมุดอินเทอร์เน็ต ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
2.การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในด้านการจัดการสำนักงาน
3.การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในด้านการแพทย์
4.การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในด้านการบริหารงานภาครัฐ เช่น ด้านการจัดเก็บภาษี

บทที่ 10 การค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต

ข้อเสนอแนะสำหรับครูและผู้ปกครอง
บทเรียนนี้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
มาตรฐาน ง 3.1 เข้าใจ เห็นคุณค่า และใช้กระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศในการสืบค้นข้อมูลการเรียนรู้ การสื่อสาร การ
แก้ปัญหา การทำงาน และอาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และมีคุณธรรม
ตัวชี้วัด : สิ่งที่นักเรียนพึงรู้และปฏิบัติได้
ง 3.1 (9) ติดต่อสื่อสาร ค้นหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต
ง 3.1 (10) ใช้คอมพิวเตอร์ในการประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ เพื่อประกอบการตัดสินใจ
ง 3.1 (11) ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศนำเสนองานในรูปแบบที่เหมาะสม ตรงตามวัตถุประสงค์ของงาน
ง 3.1 (12) ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสร้างชิ้นงานหรือโครงงานอย่างมีจิตสำนึกและความรับผิดชอบ
ง 3.1 (13) บอกข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
แนวคิด
การค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตทำให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลจากหลายแหล่งมากกว่าการค้นหาข้อมูลจากภายในห้องสมุด แบ่งประเภทในการค้นหาข้อมูลที่แตกต่างกัน เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกประเภทและรูปแบบของการค้นหาข้อมูล ผู้ใช้ต้องศึกษารูปแบบต่าง ๆ ของการค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ที่ให้บริการ ทำให้สามารถค้นหาข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงกับความต้องการมากที่สุด
สาระการเรียนรู้
1. ความหมายของเครื่องจักรค้นหา
2. ประเภทของการค้นหาข้อมูล
3. การค้นหาโดยใช้ Search Engines
4. เทคนิคในการค้นหาข้อมูล
กิจกรรมฝึกทักษะที่ควรเพิ่มให้นักเรียน
1. อธิบายความหมายของเครื่องจักรค้นหาได้
2. บอกประเภทของการค้นหาข้อมูลได้
3. บอกวิธีการค้นหาข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ ได้
4. บอกเทคนิคในการค้นหาข้อมูลรูปแบบต่าง ๆ ได้

ความหมายของเครื่องจักรค้นหา
ปัจจุบันโลกของอินเทอร์เน็ตมีข้อมูลให้เราได้ค้นหาอย่างมากมาย มีเว็บไซต์ที่บรรจุข้อมูลไว้เพื่อให้เราเข้าไปค้นหา ถ้าเราต้องการพิมพ์ชื่อเว็บไซต์ เพื่อเข้าไปค้นหาข้อมูลเราต้องรู้จัก URL ของเว็บไซต์ต่าง ๆ เหล่านั้น ทำให้ผู้ใช้ไม่สะดวกในการใช้งานจึงได้มีผู้สร้างโปรแกรมขึ้นโดยรวบรวมเว็บไซต์ต่าง ๆ จัดไว้เป็นหมวดหมู่ของข้อมูลเหมือนกับห้องสมุดที่มีหนังสือมากมาย ตั้งหมวดหมู่หนังสือ เพื่อจะได้จัดหนังสือให้เป็นระเบียบตามหมวดหมู่ ผู้ที่เข้ามาใช้งานก็สามารถหาหนังสือตามหมวดหมู่ที่ตนเองต้องการได้ทันที ซึ่งภายในหมวดหมู่นั้นก็จะมีหนังสือหลายเล่มให้เราเลือกเช่นเดียวกับการจัดหมวดหมู่ของเว็บไซต์ที่ได้รวบรวมไว้ เพื่อให้ใช้สามารถค้นหาได้ง่ายขึ้น โดยเลือกค้นหาตามหมวดหมู่ หรือหัวข้อเรื่องที่ตนเองสนใจได้โดยไม่ต้องรู้จัก URL ของเว็บไซต์นั้นเพียงแต่เรากรอกคำ หรือหัวเรื่องที่ต้องการค้นหาเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องในเรื่องเดียวกันก็จะแสดงออกมา วิธีนี้เป็นลักษณะของการใช้เครื่องมือช่วยในการค้นหาข้อมูลที่เรียกว่า “เครื่องจักรค้นหา (Search Engines)”
เครื่องจักรค้นหา (Search Engines) คือ เว็บไซต์ที่ให้บริการในด้านการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ บนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตให้แก่ผู้ใช้บริการ

ประเภทของการค้นหาข้อมูล
การค้นหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต สามารถแบ่งตามลักษณะการทำงานได้ 3 ประเภท คือ
1. Search Engine การค้นหาข้อมูลด้วยคำที่เจาะจง
Search Engine การค้นหาข้อมูลด้วยคำที่เจาะจง เป็นเว็บไซต์ที่ช่วยค้นหาข้อมูลโดยใช้โปรแกรมช่วยในการค้นหาที่เรียกว่า “Robot” ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์ในอินเทอร์เน็ตมาเก็บไว้ในฐานข้อมูลการค้นหาข้อมูลรูปแบบนี้จะช่วยให้สามารถค้นหาข้อมูลได้ตรงกับความต้องการ เพราะได้ระบุคำที่เจาะจงลงไปเพื่อให้ Robot เป็นตัวช่วยในการค้นหาข้อมูลเป็นรูปแบบที่เป็นที่นิยมมาก เช่น www.google.com
2. Search Directories การค้นหาข้อมูลตามหมวดหมู่
Search Directories การค้นหาข้อมูลตามหมวดหมู่ มีเว็บไซต์ที่เป็นตัวกลางในหารรวบรวมข้อมูล ในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จัดข้อมูลเป็นหมวดหมู่เพื่อให้ใช้สามารถเลือกข้อมูลตามที่ต้องการได้ โดยการจัดหมวดหมู่ของข้อมูลจะจัดตามข้อมูลที่คล้ายกัน หรือเป็นประเภทเดียวกันนำมารวมรวบไว้ในกลุ่มเดียวกัน
ลักษณะการค้นหาข้อมูลแบบ Search Directories ทำให้ผู้ใช้สะดวกในการเลือกข้อมูลที่ต้องการค้นหาและทำให้ได้ข้อมูลตรงกับความต้องการ
การค้นหาวิธีนี้มีข้อดี คือ สามารถเลือกจากชื่อไดเรกทอรีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต้องการค้นหา และสามารถเลือกเข้าไปดูว่ามีเว็บไซต์ใดบ้างได้ทันที เช่น www.sanook.com
3. Metasearch การค้นหาข้อมูลจากหลายแหล่งข้อมูล
Metasearch การค้นหาข้อมูลจากหลายแหล่งข้อมูล เป็นการค้นหาข้อมูลจากหลาย ๆ Search Engine ในเวลาเดียวกัน เพราะเว็บไซต์ที่เป็น Metasearch จะไม่มีฐานข้อมูลของตนเอง แต่จะค้นหาเว็บเพจที่ต้องการโดยวิธีการดึงจากฐานข้อมูลของ Search Site จากหลายแห่งมาใช้แล้วจะแสดงผลให้เลือกตามต้องการ เช่น www.thaifind.com

การค้นหาโดยใช้ Search Engines
การใช้การค้นหาข้อมูลบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
 การระบุคำเพื่อใช้ในการค้นหา
การระบุที่ต้องการค้นหา หรือที่เรียกว่า “คีย์เวิร์ด (Keyword)” โดยในเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลจะมีช่องเพื่อให้กรอกคำที่ต้องการค้นหาลงไป แล้วจะนำคำดังกล่าวไปค้นหาจากข้อมูลที่ได้จัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลของระบบ
โดยจะเริ่มจากการเลือกเว็บไซต์ที่ให้บริการในการค้นหาข้อมูลที่เรามักจะเรียกว่า “เว็บไซต์สำหรับ Search Engines” มีเว็บไซต์ต่าง ๆ หลายเว็บไซต์ที่ให้บริการด้านนี้ เช่น www.google.co.th การใช้คีย์เวิร์ดในการค้นหาข้อมูลต้องพยายามระบุคำให้ชัดเจน เพื่อจะสามารถให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการหรือให้ใกล้เคียงกับสิ่งที่เราต้องการให้มากที่สุด
วิธีปฏิบัติในการค้นหาข้อมูลแบบคีย์เวิร์ด สามารถทำได้ดังต่อไปนี้
1. พิมพ์ชื่อเว็บไซต์ที่เป็น Search Engines ในช่อง Address เช่น www’google.co.th
2. กรอกคำที่ต้องการค้นหาในช่องที่เว็บไซต์ได้กำหนดไว้
3. เว็บไซต์จะค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่มีคำที่เหมือนกันที่เรากรอกไว้ในช่องที่ต้องการค้นหาข้อมูล
4. คลิกเลือกเว็บไซต์ที่ต้องการค้นหารายละเอียดของข้อมูลต่อไป ตัวอย่างเช่น เมื่อคลิกเลือกการศึกษา Education
 การค้นหาจากหมวดหมู่ หรือไดเรกทอรี (Directories)
การให้บริการค้นหาข้อมูลด้วยวิธีนี้เปรียบเสมือนเราเปิดเข้าไปในห้องสมุด ที่จัดหมวดหมู่ของหนังสือไว้แล้ว ภายในหมวดใหญ่นั้น ๆ ประกอบด้วยหมวดหมู่ย่อย ๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนยิ่งขึ้น หรือแบ่งประเภทของข้อมูลให้ชัดเจน จะสามารถเข้าไปหยิบหนังสือเล่มที่ต้องการได้แล้วเปิดเข้าไปอ่านเนื้อหาด้านในของหนังสือเล่มนั้น ๆ วิธีนี้ช่วยให้ค้นหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น มีเว็บไซต์มากมายที่ให้บริการการค้นหาข้อมูลในรูปแบบนี้ เช่น
 www.siamguru.com  www.archive.com
 www.sanook.com  www.search.msn.com
 www.excite.com  www.thaiwebhunter.com
 www.hunsa.com  www.siam-search.com
วิธีปฏิบัติในการค้นหาข้อมูลแบบไดเรกทอรี สามารถทำได้ดังต่อไปนี้ คือ
1. พิมพ์ชื่อเว็บไซต์ที่เป็น Search Engine ในช่อง Address เช่น www.sanook.com
2. เลือกหัวข้อเรื่องที่ต้องการค้นหาข้อมูล เช่น การศึกษา จะแบ่งเป็นหัวข้อย่อยดังนี้
โรงเรียน สถาบันอุดมศึกษา สถาบันกวดวิชาและสอนพิเศษ แนะแนวการศึกษา...
3. เมื่อคลิกที่หัวเรื่องย่อยที่ต้องการ เช่น สถาบันอุดมศึกษา
4. จะปรากฏหัวข้อเรื่องย่อยของสถาบันอุดมศึกษา ดังนี้
ทำให้เลือกข้อมูลได้ตรงกับความต้องการได้มากที่สุด โดยไม่เสียเวลาในการเลือกข้อมูล เพราะได้จัดข้อมูลแบ่งเป็นกลุ่มข้อมูลย่อย ๆ
5. นอกจากแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยของข้อมูลแล้วยังมีการเชื่อมโยงข้อมูลไปยังเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้ได้เลือกค้นหาข้อมูลอีกมากมาย เช่น การเชื่อมโยงจาก www.sanook.com ไปยังเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย

เทคนิคในการค้นหาข้อมูล
ข้อมูลได้จัดเก็บไว้ในเว็บไซต์ต่าง ๆ มีจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อต้องการค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ด้วยวิธีการค้นหาข้อมูลแบบคีย์เวิร์ด จึงมีเทคนิคที่ช่วยในการค้นหาเพื่อทำให้สามารถค้นหาข้อมูลได้รวดเร็วและตรงตามที่ต้องการให้มากที่สุด ประกอบด้วยเทคนิคในการค้นหาข้อมูลดังต่อไปนี้
 การใช้ภาษา
การค้นหาข้อมูลแบบคีย์เวิร์ดสามารถค้นหาได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รูปแบบของภาษาไทยนั้นเป็นการเขียนประโยคที่ต่อเนื่อง เช่น ขนมไทย ศิลปวัฒนธรรมไทย สมุนไพรไทย เป็นต้น แต่การค้นหาด้วยคำภาษาอังกฤษจะแตกต่างจากภาษาไทย คือ ภาษาอังกฤษแบ่งวรรคของคำ เช่น Thai food ถ้าพิมพ์คำนี้แล้ว ผลลัพธ์ที่ได้จะแสดงเว็บไซต์ที่มีคำว่า Thai หรือ Food หรือ Thai food ออกมาให้ทั้งหมด ทำให้ได้รับข้อมูลมากมายเกินความต้องการ แต่ถ้าต้องการให้คำว่า Thai food เป็นข้อความเดียวกัน ต้องพิมพ์คำดังกล่าวไว้ในเครื่องหมายคำพูด (“ “) เช่น “Thai food” แปลว่าอาหารไทยนั้น เมื่อให้เว็บไซต์ค้นหาข้อมูลให้ก็จะแสดงเฉพาะเว็บไซต์ที่มีคำว่า Thai food เท่านั้น จะทำให้ข้อมูลที่ต้องการแคบลง ช่วยให้เราสามารถหาผลลัพธ์ที่ต้องการได้เร็วขึ้น
ตัวอย่าง การค้นหาข้อมูลคำว่า Thai food
ผลลัพธ์ที่ได้คือจะแสดงเว็บไซต์ที่มีคำว่า Thai หรือหรือ Food หรือ Thai food ออกมาให้ทั้งหมด
ตัวอย่าง การค้นหาข้อมูลคำว่า “Thai food”
ผลลัพธ์ที่ได้คือแสดงเฉพาะเว็บไซต์ที่มีคำว่า Thai food เท่านั้น
 ควรบีบประเด็นให้แคบลง
ควรบีบประเด็นให้แคบลง คือ การใช้คำให้ชัดเจน ตรงประเด็นที่ต้องการผลลัพธ์ให้มากที่สุด เพราะข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีอยู่มากมาย ถ้าสามารถระบุคำที่ชัดเจนและตรงประเด็นแล้ว ทำให้ได้รับข้อมูลที่ตรงกับความต้องการชัดเจน และสามารถหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เช่น ถ้าต้องการค้นหาข้อมูลของอาหารไทยเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น ควรที่จะกำหนดข้อความในการค้นหา คือ “Thai food in Thailand” จะเป็นการกรองข้อมูลให้เราได้ประเด็นที่แคบลง
 การใช้คำที่มีความหมายเหมือนกัน
คำในภาษาอังกฤษมีหลาย ๆ คำที่มีความหมายเหมือนกัน เช่น World และ Earth แปลว่า “โลก” ถ้าต้องการหาคำว่า world แล้วผลลัพธ์ที่ได้ไม่สามารถหาข้อมูลของคำนี้ได้ เราควรลองเปลี่ยนเป็นคำอื่นที่มีความหมายเหมือนกัน
 การใช้โอเปอเรเตอร์ หรือบูลีน
เมื่อต้องการที่เจาะจงข้อมูลสามารถที่จะนำโอเปอเรเตอร์ หรือบูลีนมาเป็นเครื่องมือช่วยในการค้นหาข้อมูลได้รวดเร็วและตรงกับความต้องการมากที่สูด โอเปอเรเตอร์ที่ใช้ คือ AND OR AND NOT และเครื่องหมาย
1. AND “และ” เช่น computer and design ผลลัพธ์ที่ได้ต้องมีทั้งคำว่า “computer” และ “design” อยู่ด้วยกันเท่านั้นจึงจะดึงข้อมูลนั้นมาแสดง +,-
2. OR “หรือ” การใช้คำว่า ฯฑ จะมีคำใดคำหนึ่งเพียงคำเดียวก็จะดึงข้อมูลนั้นมาแสดงให้ เช่น computer or design คือ จะมีแต่คำว่า computer หรือ มีแต่คำว่า design หรือมีทั้งคำว่า computer และ design ก็จะดึงข้อมูลนั้นมาแสดง การใช้คำว่า OR ช่วยในการค้นหาข้อมูลนั้นทำให้ข้อมูลที่ได้รับมีขอบเขตกว้างมาก
3. AND NOT หรือ NOT เช่น computer AND NOT Design หมายความว่า ให้ค้นหาข้อมูลที่มีคำว่า computer แต่ต้องไม่มีคำว่า design มาด้วย ฉะนั้นผลลัพธ์ที่ได้เมื่อใช้ข้อความนี้ในการค้นหาข้อมูลก็จะแสดงข้อมูลเฉพาะที่มีแต่คำว่าคอมพิวเตอร์เท่านั้น ถ้าข้อมูลใดมีคำว่า “design” อยู่ด้วยจะไม่ดึงเอาข้อมูลนั้นมาแสดง
4. เครื่องหมาย + (บวก) หมายความว่า คำใดที่ตามหลังเครื่องหมายนี้จะต้องมีคำนั้นอยู่ในเว็บเพจนั้นเหมือนกับคำว่า AND
5. เครื่องหมาย – (ลบ) หมายความว่า คำใดที่ตามหลังเครื่องหมายนี้จะต้องไม่มีคำนั้นอยู่ในเว็บเพจนั้นเหมือนกับคำว่า NOT เช่น +computer –design ข้อมูลที่จะแสดงออกมาจะต้องมีคำว่า computer แต่ไม่มีคำว่า design
ตัวอย่างเว็บไซต์ที่ช่วยในการค้นหาข้อมูล
www.siamguru.com www.sanook.com
www.google.co.th www.search.com
www.thaihostsearch.com www.catcha.co.th
www.hotbot.com www.search.msn.com
www.yahoo.com www.excite.com
www.thaifind.com www.siam-search.com
www.sansarn.com www.thai-index.com
www.madoo.com www.allofthai.com

สรุป
การค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต เป็นการบริการบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีแหล่งข้อมูลอยู่มากมายและมีความสะดวกในการค้นหามากกว่าการค้นหาข้อมูลจากห้องสมุด การค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตจะต้องใช้เว็บไซต์ประเภท Search Engines เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการค้นหาข้อมูลข่าวสารได้
ประเภทของการค้นหาข้อมูลแบบเป็น 3 ประเภท คือ การค้นหาข้อมูลด้วยคำที่เจาะจงการค้นหาข้อมูลตามหมวดหมู่ และการค้นหาข้อมูลจากหลายแหล่งข้อมูล ผู้ใช้สามารถเลือกวิธีการค้นหาและใช้เทคนิคในการค้นหาข้อมูลช่วย เพื่อที่จะจะได้รับข้อมูลให้ตรงตามความต้องการ และทำให้การค้นหาข้อมูลทำได้เร็วขึ้นอีกด้วย
ปัจจุบันมีเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่เป็นเว็บไซต์ประเภท Search Engines และเว็บไซต์ที่มห้บริกาการค้นหาข้อมูลอยู่หลายเว็บไซต์ ทำให้ผู้ใช้ได้รับความสะดวกยิ่งขึ้น และการใช้บริการรูปแบบนี้เสมือนเป็นการเปิดประตูห้องสมุดขนาดใหญ่ที่มีข้อมูลอยู่มากมาย ทำให้ข้อมูลที่ได้รับไม่เพาะเจาะจงอยู่เพียงในขอบเขตใดขอบเขตหนึ่งเท่านั้น แต่สามารถหาได้จากหลายแหล่งข้อมูลทั่วโลก

กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้
1. ให้นักเรียนแต่ละคนบอกวิธีการค้นหาข้อมูลที่ตนเองเคยใช้ รวมทั้งเว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลจำนวน 5 เว็บไซต์
2. ให้นักเรียนแต่ละคนค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ “เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์สมัยใหม่” คนละ 2 เรื่อง

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Hardware

ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึงส่วนประกอบของตัวเครื่องที่เราสามารถจับต้องได้จะสามารถแบ่งส่วน
ประกอบของฮาร์ดแวร์ออกได้เป็น 5 หน่วยที่สำคัญ ดังนี้
1.หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) ทำหน้าที่ในการรับโปรแกรม และข้อมูลเข้าสู่คอมพิวเตอร์ ตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้ในการรับข้อมูลเข้า ได้แก่ แป้นพิมพ์หรือคีย์บอร์ด (Keyboard) เครื่องสแกนต่างๆ เช่น เครื่องรูดบัตร สแกนเนอร์ ฯลฯ
2.หน่วยความจำ (Memory Unit) ทำหน้าที่เก็บโปรแกรมหรือข้อมูลที่รับมาจากหน่วยรับข้อมูล เพื่อเตรียมส่งให้หน่วยประมวลผลกลางทำการประมวลผล และรับผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลเพื่อเตรียมส่งออกหน่วยแสดงข้อมูลต่อไป
3.หน่วยประมวลผลกลาง (CPU หรือ Central Processing Unit) ทำหน้าที่ปฏิบัติงานตามคำสั่งที่ปรากฏอยู่ในโปรแกรม หน่วยนี้จะประกอบด้วยหน่วยย่อยๆ อีก 2 หน่วย ได้แก่ หน่วยคำนวณเลขคณิตและตรรกวิทยา (ALU หรือ Arithmetic and Logical Unit) และ หน่วยควบคุม (CU หรือ Control Unit)
4.หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storge) ทำหน้าที่เก็บข้อมูลหรือโปรแกรมที่จะป้อนเข้าสู่หน่วยความจำหลักภายในเครื่องก่อนทำการประมวลผลโดย ซีพียู รวมทั้งเป็นแหล่งเก็บผลลัพธ์จากการประมวลผลด้วย เพื่อการใช้งานในภายหลัง
5.หน่วยแสดงข้อมูล (Output Unit) ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์จากการประมวลผล เช่น จอภาพ เครื่องพิมพ์ เป็นต้น
หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit or CPU)
หน่วยประมวลผลกลางบางครั้งอาจเรียกว่า ซีพียู (CPU) หรือ โปรเซสเซอร์ (Processor) เป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของคอมพิวเตอร์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสมองของคอมพิวเตอร์ หน่วยประมวลกลางนี้ ประกอบด้วยวงจรทางไฟฟ้ามากมาย ที่อยู่แผ่นซิลิกอนซิป ซึ่งมีขนาดที่เล็กมากๆ มีหน้าที่ดังนี้
1.ประมวลผลตามคำสั่งเขียนไว้ในโปรแกรม
2.รับส่งข้อมูล โดยติดต่อกับหน่วยความจำภายในเครื่อง
3.ติดต่อรับส่งข้อมูลกับผู้ใช้ โดยผ่านหน่วยรับข้อมูลและหน่วยแสดงผล
4.ย้ายข้อมูลและคำสั่งจากหน่วยงานหนึ่งไปยังอีกหน่วยงานหนึ่ง
ส่วยประกอบของหน่วยประมวลผลกลางประกอบด้วย 2 หน่วยย่อย คือ
1.หน่วยควบคุม (Control Unit) จะมีหน้าที่ในการสั่งงาน และประสานงานการดำเนินการทั้งหมดของระบบ ได้แก่
- ควบคุมอุปกรณ์นำข้อมูลเข้า และอุปกรณ์แสดงผล
- ตัดสินใจในการนำข่าวสารใดเข้าและออกจากแหล่งเก็บ
- กำหนดเส้นทางการส่งข่าวสารจากจากแหล่งเก็บไปยัง ALU และจาก ALU ไปยังแหล่งเก็บ
- มีหน่วยที่ทำหน้าที่ในการถอดรหัสว่าจะให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำอะไร
- ควบคุมการถอดรหัสให้เป็นไปตามขั้นตอนการทำงานของหน่วยเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมา การทำงานของหน่วยควบคุมนี้จะอยู่ภายใต้คำสั่งของโปรแกรมที่เก็บไว้ในหน่วยความจำหลัก
2.หน่วยคำนวณผลเลขคณิตและตรรกวิทยา (Arithmetic and Logical Unit : ALU) การทำงานของหน่วยคำนวณคณิตและตรรกวิทยามี 2 หน้าที่คือ
2.1 การดำเนินงานงานเชิงเลขคณิต (Arithmetic Operation) ทำหน้าที่ในการคำนวณอันได้แก่ การบวก ลบ คูณ หาร
2.2 การดำเนินงานเชิงตรรกวิทยา (Logical Operation) ทำหน้าที่ในการเปรียบเทียบระหว่างข้อมูล มีการทดสอบตามเงื่อนไขมากกว่า น้อยกว่า เท่ากับ
การปฏิบัติงานของหน่วยประมวลผลกลาง
จากโปรแกรมที่ประกอบด้วยกลุ่มของคำสั่ง ที่ต้องให้คอมพิวเตอร์ทำการประมวลผล แต่ละคำสั่ง ประกอบด้วย รหัสให้ทำงาน ซึ่งจะบอกตำแหน่งที่เก็บข้อมูลในหน่วยความจำ เช่น Symbol A หรือ B ตัวอย่างของคำสั่งหนึ่งๆ ที่มีอยู่ในโปรแกรมภาษาแอสเซมบลี เช่น ADD A,B หมายถึงให้มีการนำข้อมูลที่เก็บอยู่ใน Symbol A และข้อมูลที่เก็บอยู่ใน Symbol B ในหน่วยความจำ มาทำการบวกกัน ซึ่งจะต้องถูกแปลเป็นภาษาเครื่อง ก่อนการปฏิบัติงานของหน่วยประมวลกลางเสมอ
การปฏิบัติงานของหน่วยควบคุม (CU)
ภายในหน่วยควบคุม จะมีที่เก็บข้อมูลชั่วคราวที่เรียกว่า Instruction register ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายหน่วยความจำ แต่ละแยกจากหน่วยความจำต่างหาก จะมีหน้าที่เก็บคำสั่งที่ถูกนำเข้ามาจากหน่วยความจำ เพื่อเตรียมนำไปประมวลผล โดยที่ว่าก่อนที่คำสั่งใดๆ ในโปรแกรมถูกประมูลผล จะต้องมีการอ่านโปรแกรมซึ่งประกอบด้วยชุดคำสั่งต่างๆ รวมทั้งจะต้องอ่านข้อมูล ที่จะถูกนำไปใช้ในโปรแกรมเข้าไปอยู่ในหน่วยความจำหลักก่อน โดยข้อมูลหรือโปรแกรมนี้ อาจนำเข้ามาจากอุปกรณ์นำเข้าข้อมูล หรือจากหน่วยเก็บข้อมูลสำรองอย่างใดอย่างหนึ่ง
การปฏิบัติงานของหน่วยคำนวณทางคณิตศาสตร์และตรรกศาสตร์ (ALU)
ภายใน ALU นี้จะมีวงจรการคำนวณการบวก ลบ คูณ หาร และแม้กระทั่งการหาค่ารากที่สองอยู่ จะมีที่เก็บข้อมูลชั่วคราวที่เรียกว่า storage registers สำหรับเก็บค่าข้อมูลตัวเลขที่จะถูกใช้ในการคำนวณ และเปรียบเทียบนี้ รวมทั้งเก็บผลลัพธ์ที่ได้จากการคำนวณด้วยซึ่งจำนวนของ storage registers ใน ALU นี้ จะขึ้นกับประเภทของคอมพิวเตอร์ที่ใช้ เมื่อจะมีการคำนวณหรือเปรียบเทียบตัวเลขใดๆ ตัวเลขเหล่านั้นจะถูกนำเข้ามาจากหน่วยความจำหลักและจะถูกนำไปเก็บไว้ที่ storage registers นี้ใน ALUถ้าจะทำการคำนวณก็จะส่งข้อมูลต่อไปยังวงจรการคำนวณ สำหรับผลลัพธ์ที่ได้จากการคำนวณและเปรียบเทียบก็จะถูกส่งกลับมาเก็บไว้ยัง storage registers อีกครั้ง แล้วส่งต่อไปยังหน่วยความจำหลัก เพื่อเตรียมส่งออกหน่วยนำข้อมูลออกต่อไป
กล่าวโดยสรุป จะสามารถแสดงขั้นตอนการทำงานของ CPU ในการประมวลผลคำสั่ง 1 คำสั่ง ในโปรแกรม ได้ดังนี้
1.หน่วยควบคุม จะเข้าไปอ่านคำสั่งมาจากหน่วยความจำหลัก 1 คำสั่ง
2.หน่วยควบคุม จะทำการถอดรหัสคำสั่งนั้น ว่ามีความหมายว่าอย่างไร ให้เป็นรหัสการทำงาน โดยจะแปลส่วนของ Opcode ก่อน ว่าคืออะไร ซึ่งก็จะรู้ถึงตำแหน่งของข้อมูลที่จะนำมาประมวลผล เมื่อแปลเสร็จเรียบร้อย ก็จะส่งข้อมูลไปให้หน่วยคำนวณ เพื่อปฏิบัติตามคำสั่งนั้นต่อไป
ขั้นตอน 2 ขั้นตอนนี้ จะเรียกว่าขั้นตอนเวลาของคำสั่ง
1.ข้อมูลจะถูกนำเข้าจากหน่วยความหลักเข้าไปยังหน่วยคำนวณ เพื่อทำการประมวลผลตามคำสั่งนั้น
2.ผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผล จะถูกนำไปเก็บอยู่ในหน่วยความจำหลัก
ขั้นตอน 3 และ 4 นี้ จะเรียกว่า ขั้นตอนของเวลาปฏิบัติการ ซึ่งเมื่อทำคำสั่งแรกจบแล้ว ก็จะไปอ่านคำสั่งต่อไป แล้วทำตามขั้นตอนทั้ง 4 เหมือนเดิม จนกว่าจะจบโปรแกรม
วงจรรอบเครื่องจักร (Machine Cycle)
หมายถึง ความเร็วในการประมวลหนึ่งคำสั่งใน Program ถ้าเครื่องใดมี Machine Cycle น้อย ก็จะมีประสิทธิภาพดี มีความเร็วสูง และมักมีราคาแพง Machine Cycle ประกอบด้วย
1.เวลาของคำสั่ง(Instruction time หรือ l- time) ซึ่งเริ่มตั้งแต่
- การนำคำสั่งจากหน่วยความจำหลักไปยัง CPU
- การถอดรหัสคำสั่ง หรือแปลคำสั่ง
- การหาตำแหน่งของ Operand
- การหาตำแหน่งของคำสั่งถักไป
2.เวลาปฏิบัติการ (Execution Time หรือ E- time) ซึ่งเริ่มตั้งแต่
- การนำข้อมูลที่กำหนดโดย Operand ไปยัง ALU
- การประมวลผลคำสั่งนั้น
- การเก็บผลลัพธ์ ที่ได้จากการคำนวณลงสู่หน่วยความจำหลัก
Machine Cycle มีหน่วยวัดเป็นหน่วยย่อยของวินาที ดังนี้
- มิลลิวินาที (Millisecond) = 1/10 วินาที
- ไมโครวินาที (Microcecond) = 1/10 วินาที
- นาโนวินาที (Nanosecond) = 1/10 วินาที
- พิโควินาที (pecosecond) = 1/10 วินาที
หน่วยความจำ (Memory Unit)
หมายถึงหน่วยความจำภายใน (Internal Storage) ซึ่งจะอยู่ใกล้ชิดกับ CPU หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า หน่วยความจำหลัก (Main Menory) หรือ หน่วยความจำปฐม (Primary Storage) เนื่องจากบรรดาข้อมูลและโปรแกรมต่างๆ จากหน่วยนำข้อมูลเข้าหรือหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง สิ่งที่ใช้ในการผลิตหน่วยความจำได้แก่
- ขดลวดแม่เหล็ก (Magnetic Core)
- สารกึ่งตัวนำ (Semiconductor Memory)
- วงจรไฟฟ้าขนาดเล็ก (Monolithic Memory chip)
- วงจรรวม (Integrated Circuit or IC)
หน่วยความจำยังแบ่งออกได้อีกเป็น 2 ประเภท
1.หน่วยความจำแบบลบเลือนได้ (Volatile Memory) เป็นหน่วยความจำ ที่จะเก็บข้อมูลได้ เมื่อมีกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยงอยู่เท่านั้น ถ้าต้องการเก็บข้อมูลในหน่วยความจำนี้ไว้ถาวร ก็ต้องทำการถ่ายเทข้อมูลนี้ลงสู่หน่วยเก็บข้อมูลสำรองในขณะที่ไฟยังไม่ดังนั่นเอง
2.หน่วยความจำแบบไม่ลบเลือน โดยปกติข้อมูลจะถูกบันทึกมาแล้วจากโรงงานที่ผลิตรอม จึงไม่สามารถทำการลบหรือแก้ไขข้อมูลในรอมได้ ผู้ใช้สามารถเรียกหรืออ่านข้อมูลมาใช้ได้อย่างเดียว แต่ห้ามทำการบันทึกข้อมูลซ้ำลงไปอีกแม้ไฟดับหรือปิดเครื่อง ข้อมูลก็ยังคงอยู่ตลอด
นอกจากนี้ ยังมีหน่วยความจำแบบอื่นๆ ที่จะกล่าวถึง ได้
PROM (Programmable ROM) จะมีลักษณะที่คล้ายกับ ROM มาก คือ เมื่อโปรแกรมมาแล้วก็จะสามารถอ่านได้เพียงอย่างเดียว แต่ไม่สามารถนำมาเขียนโปรแกรมใหม่ได้อีกครั้ง
EPROM (Erasable PROM) มีลักษณะคล้าย ROM และ PROM แต่จะสามารถลบข้อมูลได้หลายครั้ง โดยการใช้แสงอับตร้าไวโอเลต
EEPROM (Electrically EPROM) มีลักษณะคล้ายกับ EPROM แต่การลบข้อมูลจะใช้กระแสไฟฟ้าแทน
FLASH เป็นเทคโนโลยีของหน่วยความจำแบบ Non-Volatile Memory ซึ่งจะมาแทนที่ EEPROM หน่วยความแบบนี้จะใช้กับงานทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องการหน่วยเก็บข้อมูลความจุสูง สามารถแก้ไขโปรแกรมใน FLASH ได้ ในขณะที่ ROM ทำไม่ได้
หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storage)
สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท
1.แบบเข้าถึงข้อมูลแบบลำดับ (Sequential access media) เป็นสื่อที่ต้องมีการจัดเก็บและเรียกใช้ข้อมูลโดยการเรียบตามลำดับ
2.แบบเข้าถึงข้อมูลโดยตรง (Direct access media) เป็นสื่อที่สามารถจัดเก็บและเรียกใช้ข้อมูลที่ต้องการได้โดยตรงโดยไม่ต้องอ่านเรียงลำดับ
เทปแม่เหล็ก (Magnetic Tape)
เป็นสื่อกลางในการนำข้อมูลเข้าหรือแสดงข้อมูลออก แต่เดิมเทปเคยเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เก็บข้อมูลสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ในระดับมินิ และเมนเฟรมมาก่อน ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในการเก็บสำรองข้อมูล เพื่อป้องกันการเสียหายของข้อมูลที่อาจเกิดขึ้นได้
นอกจากนี้ เทปแม่เหล็กนี้จะมีประโยชน์มากในการย้ายข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปอีกเครื่องที่อาจอยู่ห่างไกลกัน จึงเป็นที่นิยมกันมากในปัจจุบัน ลักษณะของเทปแม่เหล็กจะเป็นแผ่นยาวทำจากสารพลาสติกที่เรียกว่า ไมลาร์ ซึ่งฉาบด้วยออกไซด์ของเหล็ก (Iron Oxide) สามารถนำกลับมาใช้บันทึกซ้ำได้อีกการบรรจุข้อมูลลงบนเทป กระทำโดยการสร้างสนามแม่เหล็กลงบนเนื้อเทป เทปแม่เหล็กนี้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดคือ
1.เทปม้วน (Reel Tape) เทปชนิดนี้มีใช้กันทั่วไปในเครื่องพวกมินิคอมพิวเตอร์และเมนเฟรม ลักษณะจะเป็นเนื้อเทปพันอยู่รอบวงล้อขนาดใหญ่ เวลาทำงานจะต้องเอาไปใส่ไว้ในเครื่องอ่านเทปที่มีขนาดโต ตัวม้วนเทปก็จะหมุนไปหมุนมา เพื่อค้นหาข้อมูลโดยจะมีความเร็วค่อนข้างช้า เทปชนิดม้วนแบบนี้จะมีการป้องกันการบันทึกข้อมูลผิดม้วน ซึ่งอาจไปบันทึกในม้วน เทปที่ยังต้องการใช้ข้อมูลอยู่ ทำให้ข้อมูลเดิมถูกทำลายลงไป
2.เทปตลับ (Tape cassette and cartridges) เป็นเทปที่กำลังเป็นที่นิยมขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีความคล่องตัวในการใช้งาน เวลาใช้ก็เพียงแต่เสียบตลับเทปลงในอุปกรณ์อ่านเทปได้เลย ซึ่งนับว่าสะดวกกว่าเทปแบบม้วนเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ในปัจจุบันได้มีการผลิตเทปตลับ ซึ่งมีขนาดเล็กมาก เกือบเท่ากับตลับเทปเพลงทั่วไป
ข้อดีของเทปแม่เหล็ก
1.สะดวกต่อการโยกย้ายข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เช่นการส่งข้อมูลจากสำนักงานใหญ่ไปยังหน่วยงานสาขาที่อยู่ต่างจังหวัด เทปนี้มีความจะมากจึงเหมาะกับการถ่ายเทข้อมูลซึ่งมีปริมาณมาก อีกทั้งยังมีความปลอดภัยและสะดวกในการพกพามากกว่าสื่อแบบอื่น
2.เหมาะกับงานสำรองข้อมูล ในหน่วยงาน
3.เหมาะกับงานที่มีการเข้าถึงข้อมูลแบบ Sequential file หรือแบบเรียงลำดับข้อมูล โดยจะมีการทำงานเกือบทั้งแฟ้มข้อมูลในเทปนั้นๆ
4.เรคอร์ด มีความยาวได้ไม่จำกัด
5.สามารถนำม้วนเทปที่มีการบันทึกไปแล้ว กลับมาใช้งานได้อีก
ข้อเสียของเทปแม่เหล็ก
1.ไม่สามารถมองเห็นข้อมูลที่บันทึกได้
2.การเข้าถึงข้อมูลต้องเป็นแบบลำดับ นั่นคือ การค้นหาข้อมูลที่ต้องการ ต้องค้นหาตั้งแต่ต้นเทปไปจนถึงปลายเทป ซึ่งจะต้องเสียเวลาพอสมควร
จานแม่เหล็ก (Magnetic Dick)
สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่
1.จานแม่เหล็กแบบอ่อน (Soft Disk or Floppy disks) จานแม่เหล็กชนิดนี้ นิยมใช้มากที่สุดในเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ บางครั้งเรียกว่า จานอ่อนชนิดนี้ นิยมใช้มากที่สุดในเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ บางครั้งเรียกว่า จานอ่อน เฟล็สซิเบิล ดิสก์ หรืออีกชื่อหนึ่งที่ใช้กันทั่วไป คือ จานแม่เหล็กเล็ก (Disdkette) หรือฟลอปปี้ดิสก์ (Floppy disks) ซึ่งจะบรรจุเก็บไว้ในซองพลาสติกอย่างถาวรมิดชิดเพื่อเป็นการป้องกัน ซึ่งมีการแบ่งเนื้อที่ดิสก์ออกเป็นวงๆ รอบจุดศูนย์กลางของแผ่นดิสก์ แต่ละวงจะเรียกว่า Track และในแต่ละแผ่นก็จะมีหลายๆ วง หรือหลายๆ Track โดยตัวอุปกรณ์ขับข้อมูล (Disk Drive) จะจัดเก็บข้อมูลตามแนวของเส้นรอบวง หรือ Track และในแต่ละ Track ก็จะแบ่งออกเป็น Sector ซึ่งในการอ่านข้อมูลแต่ละครั้งจะกระทำทีละ 1 Sector เสมอ
บนเนื้อที่แผ่นดิสก์แต่ละแผ่นจะมีหมายเลข Track และ Sector ประจำอยู่ ตัวเลขนี้ จะเป็นตัวชี้ตำแหน่งที่แน่นอนของข้อมูลที่จะอ่านหรือเขียนลงบนแผ่นดิสก์ สำหรับ Sector จะใช้เทคนิคในการกำหนดตำแหน่ง ซึ่งก็จะทำได้สองวิธี โดยอาศัยการเจาะรู เป็นตัวระบุบอกตำแหน่งของ Sector แผ่นฟลอปปี้ดิสก์นี้ นอกจากจะแบ่งได้ตามขนาดของความจุแล้ว ยังขึ้นกับจำนวนด้านในการใช้งาน ว่าเป็นด้านเดียวหรือ 2 ด้าน ถ้าเป็นด้านเดียว หมายถึง เครื่องมีหัวอ่าน 1 หัว ใช้งานได้หน้าเดียว ซึ่งพบในเครื่อง IBM PC ที่ใช้ Doc 1.0 แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนมารใช้แบบ 2 ด้าน ซึ่งเครื่องจะมีหัวอ่าน 2 หัวจะใช้งานได้ 2 ด้าน ใช้กับ DOS 1.1 ขึ้นไป แต่ก็ยังสามารถอ่านและบันทึกข้อมูลบนแผ่นดิสก์แบบหน้าเดียวได้ด้วย
ปัจจุบัน Disk drive แบบนี้ สามารถเก็บข้อมูลลงบนแผ่นฟลอปปี้ดิสก์ได้ประมาณ 320 หรือ 360 K แล้วแต่การฟอร์แมตแผ่นดิสก์ที่ใช้กับ Drive แบบนี้ เมื่อทาง IBM ได้ออกเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่น AT ออกมาก็ได้มีการผลิต Disk Drive ชนิดใหม่ออกมาคือ Disk Drive แบบความจะข้อมูลสูง (High Capacity Drive) สามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 1.2 M โดยใช้แผ่นฟลอปปี้ดิสก์แบบ High Density
ข้อดีของการใช้แผ่นฟลอปปี้ดิสก์
1.ราคาถูก
2.การใช้งานง่าย และสะดวก
3.สามารถบันทึกข้อมูลซ้ำได้หลายครั้ง
ข้อเสียของการใช้แผ่นฟลอปปี้ดิสก์
1.จะหักหรืองอได้ง่ายถ้าวางของหนักๆ ทับ แม้กระทั่งการใช้ยางรัดหรือคลิปหนีบ
2.การเขียนหรือลบข้อมูลบนซองฟล็อปปี้ดิสก์ อาจเป็นการทำลายข้อมูลในแผ่นได้
3.อาจหงิกงอได้ถ้าวางในที่ที่มีอุณหภูมิสูงเกินไป
4.ข้อมูลอาจสูญหาย หรือเสียได้ถ้าตัวแผ่นโดนฝุ่น น้ำ หรือมีการจับลูบเนื้อของแผ่น
5.ข้อมูลอาจสูญหาย หรือผิดเพี้ยนได้ ถ้านำแวางในที่ที่มีสนามแม่เหล็ก
2.จานแม่เหล็กแบบแข็ง (Magnetic Disk or Hard Disk) เครื่องมินิคอมพิวเตอร์หรือใหญ่กว่า จำเป็นต้องมีสื่อบันทึกข้อมูลที่สามารถบันทึกข้อมูลได้มากกว่าฟล็อปปี้ดิสก์ จานบันทึกข้อมูลชนิดนี้เรียกว่า ฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk) หรือจานแข็ง ซึ่งสามารถบันทึกได้เป็นจำนวนมาก สารที่นำมาผลิตเป็นดิสก์นั้นเป็นสารจำพวกโลหะหรือแก้วบางชนิด ซึ่งไม่สามารถงอไปงอมาได้เหมือนกับฟลอปปี้ดิสก์ ในระบบไมโครคอมพิวเตอร์หลายๆ ระบบ ได้ขยายขีดความสามารถ จนสามารถใช้หน่วยความจำเป็นฮาร์ดดิสก์นี้ได้
โครงสร้างของฮาร์ดดิสก์
ประกอบด้วยตัวจานหรือดิสก์ ซึ่งเป็นแผ่นกลมแบบหลายๆ แผ่น วางซ้อนกันอยู่ บางจานถูกเรียงซ้อนกันเรียกว่า ชุดจานแม่เหล็ก โดยอาจมีจำนวน แผน 3-11 แผ่น แต่จะไม่เรียกว่าดิสก์ จะเรียกว่าแพลตเตอร์ (Platter) แทน โดยที่แต่ละแพลตเตอร์จะสามารถเก็บข้อมูลได้ทั้งสองด้าน เหมือนกับฟลอปปี้ดิสก์แบบสองหน้า และเนื่องจากฮาร์ดดิสก์มีแพลตเตอร์หลายๆ แผ่นซ้อนกันอยู่ ดังนั้น ฮาร์ดดิสก์ตัวหนึ่งๆ จะมีหัวอ่านเขียนเท่ากับจำนวนแพลตเตอร์พอดี และหัวอ่านข้อมูลลงบนฮาร์ดดิสก์ ก็จะมีเพียงหัวอ่าน 1 หัวเท่านั้นที่จะทำการอ่านหรือเขียนข้อมูล
ลักษณะที่แตกต่างที่สำคัญอย่างหนึ่งระหว่างฮาร์ดดิสก์ และฟอปปี้ดิสก์คือในตัวฮาร์ดดิสก์ นอกจากจะประกอบไปด้วยส่วนที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลแล้ว ยังประกอบด้วยส่วนที่เป็น Firve ทำหน้าที่อ่าน เขียนข้อมูลด้วย แต่ฟลอปปี้ดิสก์จะต้องมี Disk Dive แยกต่างหาก จึงจะสามารถทำงานได้ ซึ่งต่างกับฟลอปปี้ดิสก์ไดรฟ์ ที่จะต้องรอให้มีการอ่าน เขียนข้อมูลเสียก่อน จึงจะมีการหมุนหาตำแหน่งของข้อมูล นอกจากนี้ถ้ามีการขยับเครื่องคอมพิวเตอร์ อาจทำให้หัวอ่าน เขียนไปกระทบกับแพลตเตอร์ได้ ซึ่งจะทำให้ข้อมูลที่เก็บอยู่ ณ ตำแหน่งนั้น ถูกทำลายลงไป
ความจุฮาร์ดดิสก์ = จำนวน Cylinder x จำนวน Sector x จำนวนด้าน x จำนวน byte
ใน 1 Sector
= 305 Cylinder x 17 Sector x 4 Side x 512 byte
= 10,370 k
= 10 M
ซีดีรอม (CD-ROM)
ย่อมาจาก Compact Disk-Read Only Menory เป็นเทคโนโลยีใหม่ ที่เพิ่มเกิดขึ้นได้ไม่กี่ปีมานี้ สามารถนำมาใช้กับเครื่อง PC ได้ มีความจุสูง สามารถบันทึกข้อมูลร่วมกันได้หลายชนิด และการค้นหาข้อมูลสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้เวลาเพียง 1-2 วินาทีเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีความทนทานเป็นอย่างมาก ใช้ได้นาน 10-20 ปี ลักษณะจะไม่ต่างจากแผ่นคอมแพคดิสก์ (แผ่น CD) ที่ใช้ฟังเพล หรือเลเซอร์ดิสก์ก็ใช้ดูวีดีโอ สามารถเรียกได้อีกอย่างว่า เลเซอร์ดิสก์ (Laser Disk) เนื่องจากจะใช้แสงเลเซอร์ในการอ่าน หรือบันทึกข้อมูลลงบนแผ่น จึงจัดเป็นสื่อประเภทออปติคัล (Optical Media) ในช่วงแรกๆ ที่มีการผลิต CD-ROM ออกมา นิยมใช้ในการเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ เช่นงานของห้องสมุด ที่ต้องเก็บข้อมูลเป็นปริมาณมาก แต่ต่อมาได้เริ่มนำมาใช้ในการเก็บโปรแกรมสำเร็จรูปต่างๆ ทั้งในระดับเครื่องพีซีและเวิร์กสเตชันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเครื่องพวกเวิร์กสเตชั่น CD-ROM จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 12 เซนติเมตร มีรูกลมตรงกลางแผ่นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 15 มิลลิเมตร และตัวแผ่นหนา 1.2 มิลลิเมตร น้ำหนักเพียง 0.7 ออนซ์ ชั้นในสุดที่ใช้บันทึกข้อมูล ทำด้วยพลาสติกโพลีคาร์บอเนต เพื่อป้องกันคราบสกปรกต่างๆ ดังนั้น ข้อมูลจะไม่สูญหายหรือถูกทำลายได้ง่ายๆ
ในแผ่น CD-ROM นั้น จะมีการแบ่งเป็น Track และ Sector เหมือนกับดิสก์โดยใน CD-ROM หนึ่งแผ่น จะแบ่งเป็น 276,000 Sector มี Sector ละ 99 Track การจัดแบ่งเนื้อที่ในแต่ละ Sector และแต่ละ Track จะมีลักษณะเรียงเป็นวงซ้อนกันไปเรื่อยๆ แบบร่องแผ่นเสียงร่องเดียว ซึ่งมีความเร็วกว่ารอบนอก โดยรอบนอกมีความเร็ว 200 รอบต่อนาที โดยหมุนแบบทวนเข็มนาฬิกา และมีความเร็วในการหมุนขณะส่งข้อมูล 150 Kbyte ต่อวินาที
การบันทึกข้อมูลนั้น จะใช้แสงเลเซอร์จากหัวบันทึกของเครื่องบันทึกข้อมูลส่องลงบนพื้นผิวที่ต้องการบันทึก พื้นผิวตรงจุดนั้นก็จะเป็นหลุมเล็กๆ ซึ่งจะเก็บค่าเป็น 1 และส่วนที่ไม่ต้องการบันทึกก็จะมีพื้นผิวที่เรียบ ซึ่งจะเก็บเป็นค่า 0 การสร้างหลุมเพื่อบันทึกข้อมูลนี้ ทำให้ CD-ROM เป็นสื่อที่เหมาะในการบันทึกข้อมูลเพียงครั้งเดียว ดังนั้น ข้อมูลใน CD-ROM จะไม่สามารถลบหรือเปลี่ยนแปลงได้ แต่จะสามารถเรียกข้อมูลดูได้หลายครั้ง ซึ่งเรียกลักษณะการทำงานอย่างนี้ว่า WORM (Write Once Read Many)
สำหรับการอ่านข้อมูลนั้น ก็จะใช้แสงเลเซอร์จากหัวอ่านภายในเครื่องอ่านที่มีกำลังอ่อนกว่า ในการสแกนพื้นผิวว่าเป็นหลุมหรือไม่ ถ้าเป็นก็จะถูกอ่านที่มีกำลังอ่อนกว่า ในการสแกนพื้นผิวว่าเป็นหลุมหรือไม่ ถ้าเป็นก็จะถูกเครื่องนำไปถอดสัญญาณรหัสจากภาษาเครื่องออกมาเป็นข้อมูลที่บันทึกไว้แต่ละประเภท ในแผ่น CD-ROM หนึ่งแผ่น จะสามารถจะข้อมูลได้สูงมาก
หน่วยนำข้อมูลเข้า (Input Unit)
เป็นหน่วยที่ทำหน้าที่รับข้อมูล อันได้แก่ โปรแกรมหรือชุดของคำสั่งที่เขียนสั่งงานให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามขั้นตอน และข้อมูลที่ต้องใส่เข้าไปพร้อมกับโปรแกรม เพื่อส่งไปให้หน่วยประมวลผลกลางทำการประมวลผล และให้ได้ผลลัพธ์ตามที่เราต้องการ อุปกรณ์ที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลเข้า จะมีดังต่อไปนี้
- เทอร์มินัล (Terminal) ประกอบด้วยจอภาพและคีย์บอร์ด เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการที่จะติดต่อสั่งงานคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้สามารถพิมพ์คำสั่งต่างๆ ลงไปโดยผ่านทางคีบอร์ด ซึ่งข้อความที่พิมพ์ก็จะปรากฎทางหน้าจอ ข้อมูลจะยังไม่ผ่านเข้าไปเก็บในเครื่องคอมพิวเตอร์จนกว่าผู้ป้อนข้อมูลจะกดแป้น Enter หรือ Return จึงจะรับเข้าไปเก็บในเครื่องคอมพิวเตอร์
- เมาส์ (Mouse) เป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กเหมาะมือที่ใช้คอบคุมเคอร์เซอร์ (Cursor) หรือตัวชี้ที่ที่ปรากฏอยู่บนจอ หรือการเลือกของเมนูที่ต้องการ โดยการกดปุ่มบนตัวเมาส์แทนการใช้คีย์บอร์ด การใช้งานก็จะเลื่อนเมาส์ไปตามพื้นแผ่นเรียบ เช่นพื้นโต๊ะหรือแผ่นรองเมาส์ ระบบคอมพิวเตอร์จะทำงานสัมพันธ์กับการหมุนของลูกกลิ้งใต้ตัวเมาส์ จึงทราบว่าจะเลื่อนตัวชี้บนจอภาพไปที่ใด ก่อนที่จะมีการใช้งานเมาส์ ก็จะต้องมีการต่อเมาส์เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ เมื่อต่อเรียบร้อยแล้ว ก็จำเป็นที่จะต้องโหลดโปรแกรมไดรเวอร์ของเมาส์ ซึ่งส่วนมากจะมีมาพร้อมกับตัวเมาส์จาะบริษัทที่ขาย ก็จะทำให้สามารถใช้เมาส์ติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้
- จอแบบสัมผัส (Touch- sensitive Screens) เป็นอุปกรณ์นำเข้าข้อมูลที่จะต้องใช้นิ้วมือไปสัมผัสได้มีการใช้วิทยาการต่างๆ กัน 4 วิทยาการคือเยื่อเชิงตัวนำ จานเก็บประจุ คลื่นจากคุณสมบัติของเสียง และลำแสงรังสีอินฟาเรด ซึ่งจอที่ใช้วิทยาการ 2 วิทยาการหลังนั้น จะละเอียดมากที่สุดและแพงที่สุด อย่างไรก็ดี ไม่มีวิทยาการหนึ่งวิทยาการใด เหนือกว่าวิทยาการอื่น แต่ละวิทยาการก็มีคุณประโยชน์ของมันเอง
1.จอที่ใช้เยื่อเชิงตัวนำ ประกอบด้วยสองส่วน คือ เยื่อใส ซึ่งผิวในเป็นสารตัวนำ และแก้วจอซีอาร์ที่หุ้มด้วยเยื่อโปร่งแสง ซึ่งทำด้วยสารที่มีความต้านทาน เมื่อมีแรงดกบนจอไปที่เยื่อตัวนำ จะสัมผัสแผ่นความต้านทานในแต่ละจุด ดังนั้น จะเกิดสํกดาไฟฟ้าในแผ่นความต้านทานทั้งแนวดิ่งและแนวราบซึ่งสามารถวัดศักย์ไฟฟ้าได้ค่าสเกล (Scale) ในวงจะถูกจัดค่าออกมาได้จะเปลี่ยนเป็นตัวเลขคู่ลำดับที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถอ่านได้
2.จอจานประจุ วิทยาการนี้จะใช้แผ่นแก้ว ซึ่งด้านหนึ่งฉาบด้วยโลหะโปร่งแสง บางมาก เป็นส่วนซึ่งใช้เป็นที่สะสมประจุ ตัวแผ่นใสนี้จะถูกติดตั้งหน้าจอซีอาร์ที่เป็นส่วนๆ อยู่ด้านหน้า เมื่อสัมผัสส่วนหนึ่งนี้ ด้วยนิ่งหรือสารตัวนำอื่น จะเปลี่ยนแปลงประจุที่เก็บไว้เป็นการสร้างศักดาไฟฟ้า ซึ่งส่วนที่สัมผัสนี้ จะถูกวัดออกมาเป็นรหัสตัวเลขและถูกอ่านโดยเครื่องคอมพิวเตอร์
3.จอที่ใช้คลื่นคุณสมบัติของเสียง วิทยาการนี้ทำงานในหลักการเดียวกับเรดาร์หรือโซน่าร์ สารไวต่อคลื่นจะให้ไฟฟ้าออกมารในแนวระดับ และแนวดิ่งของจอที่เป็นคลื่น ที่มีคุณสมบัติของเสียงสลับระหว่างแนวราบ กับแนวดิ่งจากหน้าจอ เมื่อคลื่นเหล่านี้ ถูกนิ้วหรือวัตถุอื่นใด จะสะท้อนกลับไปยังตัวรับคลื่น-แปลงคลื่น การวัดนี้จะเกิดจากระยะนี้ยาวเท่าใด โดยใช้เวลาที่เกิดระหว่างส่งคลื่นและสะท้อนกลับ เข้ามาทำให้ได้ตำแหน่งวัตถุที่สะท้อนคลื่นนั้น
4.จอชนิดที่ใช้รังสีอินฟราเรด เป็นวิทยการที่เกิดจาก Light Emit Diodes (LEDs) จะส่งรังสีอินฟราเรดออกมาในแนวราบและแนวดิ่ง บนด้านตรงข้ามของจอ จะมี infrared detector (phototransistors : ตัวเปลี่ยนแสงเป็นกระแสไฟฟ้า) อยู่ในแนวดิ่งและแนวราบ สัญญาณสลับของกระแสไฟฟ้าในวงจร (Electronic Circuits Pulse) (สัญญาณสลับนี้ คือ คลื่นรูปสี่เหลี่ยมเมื่อมีกระแสไฟฟ้ามาจะเป็นคลื่นสูง เมื่อไฟดับคลื่นจะเป็นเส้นในแนวราบ) จาก LEDs นี้ ได้รับการสนองตอบจาก detector ซึ่งสามารถวัดได้เมื่อนิ้วมือสัมผัสจอภาพซึ่งตำแหน่งนั้น สามารถหาได้จากคลื่นและการขัดจังหวะคลื่นของนิ้วมือ
ข้อดี ของการใช้จอสัมผัส ก็คือ สามารถใช้งานได้ง่าย โดยการใช้นิ้วมือสั่งงานได้โดยตรง ไม่ต้องลากมือไปมาเหมือนเมาส์
ข้อเสีย ก็คือตัวเครื่องจะมีน้ำหนักและใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น ความเร็วในการทำงานจะค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับเมาส์ และจะใช้งานละเอียดประเภทการวาดภาพไม่ได้ นอกจากนี้ การใช้นิ้วสัมผัสจอเป็นเวลานานตามจุดต่างๆ อาจทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าได้ การใช้งานจอสัมผัส ก็นับว่าเป็นวิธีที่ง่ายสำหรับผู้เริ่มต้นใช้งานคอมพิวเตอร์
ปัจจุบันได้มีการนำจอสัมผัสนี้ ไปใช้งานร่วมกันสื่อแบบผสมที่เรียกว่า มัลติมีเดีย (Multimedia) โดยผู้ใช้เพียงแต่ใช้นิ้วมือจิ้ม เลือกหัวข้อที่สนใจบนหน้าจอจากนั้น เครื่องก็จะแสดงภาพและเสียงของหัวข้อนั้นออกมาให้ดู
- จอยสติค (Joystick) เป็นอุปกรณ์นำเข้าข้อมูลประเภทกราฟฟิค มีลักษณะเป็นก้านหรือคานโผล่จากด้านบนของกล่อง สามารถบิดไปในทิศทางต่างๆ ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ควบคุม หน้าที่ของจอย จะให้สัญญาณทางไฟฟ้า 2 สัญญาณอิสระกัน เครื่องคอมพิวเตอร์ก็จะรับรู้สัญญาณเหล่านี้ และซอฟต์แวร์จะใช้สัญญาณเหล่านี้ มาเขียนภาพออกไป ฉะนั้น โดยธรรมชาติแล้วจอยติคไม่ใช่อุปกรณ์ที่ให้ข้อมูลรายละเอียดได้มาก แต่ได้ผลสะท้อนจากภาพบนจอ ทำให้ผู้ควบคุมสามารถจับทิศทางของเคอร์เซอร์ได้ละเอียด โดยใช้ความพยายามไม่มาก
- ปากกาแสง (Light Pens) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงานทางด้านกราฟฟิค มีรูปร่างเหมือนปากกา และมีแสงอยู่ตอนปลายใช้จิ้มเข้าไปที่จอภาพ เพื่อเลือกเมนูที่ต้องการ หรือวาดภาพก็ได้ เราสามารถป้อนข้อมูลเข้าไปสำหรับโปรแกรมที่อยู่ในหน่วยความจำในขณะนั้น โดยหน้าจออาจมีเมนูรายการให้เลือก เราก็สามารถใช้ปากกาแสงนี้จิ้มไปที่รายการที่เราต้องการ ซึ่งเป็นข้อมูลเข้า เพื่อให้เครื่องรับข้อมูลคำสั่ง เพื่อทำงานตามที่ต้องการ ปากกาแสงนี้ นิยมใช้มากในงานออกแบบที่เรียกว่า Computer-aided design (CAD)
- อุปกรณ์โอซีอาร์ (ocr Optical Character Recogniton) ซึ่งสามารถแบ่งประเภทของอุปกรณ์โอซีอาร์ ตามลักษณะของข้อมูลที่จะนำเข้าได้ดังนี้
1.โอเอ็มอาร์ (Optical Mark Recders OMR) เครื่องนี้สามารถอ่านรอยเครื่องหมายที่เกิดจากดินสอในกระดาษที่มีรูปแบบเฉพาะได้ ซึ่งในการตรวจข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ข้อมูลที่ได้จากกระดาษคำตอบจะถูกป้อนเป็นข้อมูลเข้า สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์โดยผ่านเครื่อง OMR นี้ ข้อมูลจะถูกอ่านเข้าไปเก็บโดยผ่าน OMR โดยการส่องไฟผ่านกระดาษที่จะอ่าน และจะสะท้อนแสงที่เกิดจากเครื่องหมายที่ทำขึ้นโดยดินสอ รอยดินสอจะเกิดขึ้นจากดินสอที่มีตะกั่วอ่อน (ปริมาณถ่านกราไฟต์สูง) จึงจะสะท้อนแสงได้
2. Wand Reader จะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้มือควบคุม โดยจะนำอุปกรณ์นี้ส่องลำแสงไปยังตัวอักษรแบบพิเศษ เพื่อทำการแปลงตัวอักษรนั้นให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าและส่งไปให้คอมพิวเตอร์ประมวลผล
3. Hand written Character Device เป็นอุปกรณ์ที่สามารถอ่านข้อมูลที่เขียนด้วยลายมือได้ ซึ่งอุปกรณ์ชนิดนี้ จะช่วยลดขั้นตอนในการคีย์ (Key in) เข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ลายมือที่เขียนจะต้องมีรูแปบบที่อ่านงานไม่กำกวม
4. Bar Code Reader Bar Code เป็นสัญลักษณ์หรือาหัสที่มีรูปแบบเป็นแท่งเรียงกันเป็นแถวในแนวตั้ง ซึ่งสามารถพบเห็นได้ทั่วไปบนผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่วางขายอยู่ตามห้างสรรพสินค้า รหัสรูปแท่งนี้ จะสามารถอ่านได้โดยใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า Bar Code Reader ซึ่งเป็นอุปกรณ์สแกนเนอร์ (Scanner) ที่อ่านรหัสแท่งโดยใช้หลักการสะท้อนของแสง
หน่วยนำข้อมูลออก (Output Unit)
เป็นหน่วยที่ทำหน้าที่ในการแสดงเอกสารแสดงผลลัพธ์ และรายงานต่างๆ หลังจากที่คอมพิวเตอร์ได้ทำการประมวลผลแล้ว โดยผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลจะถูกต้องเก็บอยู่ในหน่วยความจำหลัก อุปกรณ์ที่ใช้นำข้อมูลออกนี้ จะเรียกว่า อุปกรณ์แสดงผล ซึ่งสามารถแบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1.จอภาพ (Monitor)
เป็นอุปกรณ์ที่แสดงข้อความที่มีการนำเข้าข้อมูลแล้ว ยังเป็นอุปกรณ์แสดงผลอย่างหนึ่งในเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่ในการแสดงข้อความหรือผลจากการทำงานต่างๆ โดยทั่วไปจอภาพจะเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่แยกออกมาจากตัวเครื่องอย่างชัดเจน หลักการในการแสดงภาพหรือข้อมูลบนจอ จะคล้ายกับการทำงานของจอโทรทัศน์ คือ คอมพิวเตอร์จะแปลงสัญญาณให้วีดีโอแสดงผลยิงลำแสงอิเล็กตรอนไปยังพื้นผิวของจอภาพ ซึ่งฉาบไว้ด้วย ฟอสฟอรัส
2.เครื่องพิมพ์ (Printer)
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดงผลลัพธ์ที่แพร่หลายมากที่สุด โดยจะพิมพ์ผลลงบนกระดาษ ซึ่งสามารถเก็บผลลัพธ์เอาไว้ดูได้นานๆ ซึ่งจะเรียกผลลัพธ์ที่พิมพ์ประเภทนี้ว่า Hard Copy เครื่องพิมพ์จะมีหลายประเภทแยกออกตามวิธีการพิมพ์ ความคมชัดของตัวอักษร และความเร็วในการพิมพ์ สามารถแบ่งประเภทของเครื่องพิมพ์ออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ได้แก่
1. Serial Printer
เป็นเครื่องพิมพ์ที่นิยมใช้กันมากในเครื่องระดับไมโครคอมพิวเตอร์ จะมีการพิมพ์ทีละตัวอักษร ขณะที่หัวพิมพ์วิ่งไปตามแนวนอนของกระดาษ โดยจะมีความเร็วในการพิมพ์อยู่ในช่วง 40-450 cps (characters per second) ซึ่งสามารถพิมพ์ได้ทั้งสองทิศทางไม่ว่าหัวพิมพ์จะเคลื่อนไปทางซ้ายหรือทางขวาของกระดาษ เครื่องพิมพ์นี้ยังสามารถแบ่งได้อีกเป็น
1.1 เครื่องพิมพ์ชนิดพิมพ์กระทบ เครื่องพิมพ์ประเภทนี้ จะมีการพิมพ์ สัมผัสกระดาษ เช่นเดียวกับเครื่องพิมพ์ดีด ซึ่งกลไกในการทำงานของเครื่องพิมพ์นี้จะเป็นวิทยาการที่ซับซ้อนมาก
1.2 เครื่องพิมพ์ชนิดพิมพ์ไม่กระทบ เครื่องพิมพ์แบบนี้ จะมีการทำงานต่างจากเครื่องพิมพ์ชนิดพิมพ์กระทบ โดยจะพิมพ์ไม่สัมผัสถูกผิวกระดาษโดยตรง หากแต่ใช้แสงเลเซอร์ ที่มีศักยภาพต่ำหรือใช้ความร้อน หรือใช้วิทยาการทางอิเล็กโตสแตติค มาใช้พิมพ์ตัวหนังสือแทน
2. Line Printer จัดอยู่ในประเภทเครื่องพิมพ์แบบกระทบ สามารถพิมพ์ได้ทีละบรรทัดขณะใดขณะหนึ่ง โดยมีความเร็วอยู่ในช่วง 1000-5000 lpm (line per minute) สามารถแบ่งเครื่องพิมพ์ชนิดนี้ออกได้อีกเป็น 3 แบบด้วยกันคือ
2.1 The Band Printer เป็นเครื่องพิมพ์ที่ใช้การวิ่งของตัวอักษรที่ติดอยู่บนแถบคาด (band) ที่เป็นโลหะ ซึ่งตัวอักษรนี้จะวิ่งไปตามแนวนอนของกระดาษและผ้าหมึกไปที่ตัวอักษรนั้น ก็จะทำให้ตัวอักษร ปรากฏอยู่บนกระดาษตามต้องการ
2.2 The Chain Printer เป็นเครื่องพิมพ์ที่มีหลักการทำงานคล้าย Band Printer แต่ตัวอักษรจะปรากฏอยู่บนโซ่แทนแถบคาด
2.3 The Drum Printer จะมีตัวอักษรเรียงกันอยู่เป็นแถวๆ แต่ละแถวก็จะมีตัวอักษรที่เหมือนกัน อยู่บน Drum ซึ่ง Drum นี้ จะหมุนอยู่ตลอดเวลา เมื่อถึงจังหวะจะพิมพ์ตัวอักษรใด หัวพิมพ์ก็จะเคาะผ่านกระดาษและผ้าหมึกทันที
3. Page Printer เป็นเครื่องพิมพ์แบบไม่กระทบ โดยส่วนมากจะใช้เทคโนโลยีของเลเซอร์ ตัวอย่างเครื่องพิมพ์แบบนี้ ได้แก่
3.1 เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์ (Laser Printer) เครื่องพิมพ์แบบนี้เป็นเครื่องพิมพ์ที่มีความเร็วสุด เมื่อเทียบกับเครื่องพิมพ์ชนิดอื่น และมีแนวโน้มว่าจะเป็นมาตรฐานของเครื่องพิมพ์สำหรับเครื่องซีพีในอนาคตอีกด้วย เครื่องพิมพ์เลเซอร์นี้ เป็นเครื่องพิมพ์ที่มีความคมชัดสวยงามมากกว่า เครื่องพิมพ์ชนิดจุด สามารถพิมพ์ภาพและพิมพ์ตัวอักษรไทย-อังกฤษ ได้หลายขนาดและหลายแบบ ความคมชัดของเครื่องพิมพ์เลเซอร์นี้ ขึ้นอยู่กับความละเอียดของจุดภาพ การทำงานของเครื่องพิมพ์เลเซอร์ จะเปลี่ยนตัวอักษรและรูปภาพกราฟิคจากเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เป็นภาพที่มีความละเอียดสูงซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเครื่องถ่ายเอกสาร
3.พลอตเตอร์ (Plotter)
เป็นอุปกรณ์การแสดงผลอีกแบบ ซึ่งเนื่องจากการแสดงรูปกราฟิคทางเครื่องพิมพ์จะมีข้อจำกัดทางด้านคุณภาพและขนาดของภาพ ดังนั้น จึงได้มีการผลิตพลอตเตอร์ขึ้นมา เพื่อใช้ในงานที่มีการสร้างรูปภาพทาง กราฟิค เช่นการออกแบบ แผนผัง แผนที่และชาร์ดต่างๆ พลอตเตอร์ยัง สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้
1.พลอตเตอ่ร์แบบทรงกระบอก (Drum Plotter) จะมีปากกามากกว่า 1 ด้ามที่มีหลายสี หลายขนาด ผลัดกันเคลื่อนที่ไปมาบนกระดาษ ภายใต้การควบคุมของเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อสร้างภาพขึ้นมา
2.พลอตเตอร์แบบระนาบ (Flatbed Plotter) จะมีปากกามากกว่า 1 ด้ามเช่นกัน แต่การเคลื่อนที่จะมีแต่ปากกาเท่านั่น ที่มีการเคลื่อนที่ทั้งสองแกน ในขณะที่กระดาษผลลัพธ์จะอยู่กับที่ พลอตเตอร์แบบนี้ มักมีขนาดไม่ใหญ่นัก ตั้งบนโต๊ะคอมพิวเตอร์ ได้ ภาพที่วาดจึงไม่ใหญ่มาก เช่น รูปกราฟต่างๆ หรือรายงานๆ
3.อิเล็กโตรสแตติคพลอตเตอร์ (Electrostatic Plotter) เป็นพลอตเตอร์ที่ใช้ในการสร้างภาพอย่างคร่าวๆ ไม่ละเอียดมกนัก ใช้สำหรับตรวจสอบความถูกต้องของงาน เมื่อเรียบร้อยดีแล้ว จึงส่งให้พลอดเตอร์ 2 แบบแรกสร้างภาพผลลัพธ์ที่มีความละเอียดสูงต่อไป