วันอังคารที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2553

บทที่ 11 การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ

ข้อเสนอแนะสำหรับครูและผู้ปกครอง
บนเรียนนี้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
มาตรฐาน ง 2.1 เข้าใจเทคโนโลยีและกระบวนการเทคโนโลยี ออกแบบและสร้างสิ่งของเครื่องใช้หรือวิธีการตามกระบวนการ เทคโนโลยีอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ เลือกใช้เทคโนโลยีในทางสร้างสรรค์ต่อชีวิต สังคม สิ่งแวดล้อม และมีส่วน ร่วมในการจัดการเทคโนโลยี
มาตรฐาน ง 3.1 เข้าใจ เห็นคุณค่า และใช้กระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศในการสืบค้นข้อมูลการเรียนรู้ การสื่อสาร การ แก้ปัญหา การทำงาน และอาชีพอย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผล และมีคุณธรรม
ตัวชี้วัด : สิ่งที่นักเรียนพึงรู้และปฏิบัติได้
ง 2.1 (3) สร้างและพัฒนาสิ่งของเครื่องใช้หรือวิธีการตามกระบวนการเทคโนโลยีอย่างปลอดภัยโดยถ่ายทอด ความคิดเป็นภาพฉายและแบบจำลองเพื่อนำไปสู่การสร้างชิ้นงาน หรือถ่ายทอดความคิดของวิธีการ เป็นแบบจำลองความคิดและการรายงานผลโดยใช้ซอฟแวร์ช่วยในการออกแบบหรือนำเสนอผลงาน
ง 2.1 (4) มีความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการในการที่ผลิตเอง หรือการพัฒนา ผลิตภัณฑ์ที่ผู้อื่นผลิต
ง 2.1 (5) วิเคราะห์และเลือกใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสมกับชีวิตประจำวันอย่างสร้างสรรค์ต่อชีวิต สังคมและ สิ่งแวดล้อม และมีการจัดการเทคโนโลยีที่ยั่งยืนด้วยวิธีการของเทคโนโลยีสะอาด
ง 3.1 (9) ติดต่อสื่อสาร ค้นหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต
ง 3.1 (10) ใช้คอมพิวเตอร์ในการประมวลผลข้อมูลให้สารสนเทศ เพื่อประกอบการตัดสินใจ
ง 3.1 (11) ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศนำเสนองานในรูปแบบที่เหมาะสม ตรงตามวัตถุประสงค์ของงาน
ง 3.1 (12) ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสร้างชิ้นงานหรือโครงงานอย่างมีจิตสำนึกและความรับผิดชอบ
ง 3.1 (13) บอกข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
แนวคิด
ความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และความต้องการด้านข้อมูลข่าวสารมีอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้เทคโนโลยีสารสนเทศพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว มีหน่วยงานต่าง ๆ ได้เห็นถึงความสำคัญในการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ในงาน ทั้งในส่วนของภาครัฐและเอกชน
สาระการเรียนรู้
1. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการศึกษา
2. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการจัดการสำนักงาน
3. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการแพทย์
4. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการบริหารภาครัฐ
5. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการสื่อสารและโทรคมนาคม
6. การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านความบันเทิง
กิจกรรมฝึกทักษะที่ควรเพิ่มให้นักเรียน
1. บอกการนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปประยุกต์ใช้ในด้านการศึกษาได้
2. บอกการนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปประยุกต์ใช้ในด้านการจัดการสำนักงานได้
3. บอกการนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปประยุกต์ใช้ในด้านการแพทย์ได้
4. บอกการนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปประยุกต์ใช้ในด้านการบริหารภาครัฐได้
5. บอกการนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปประยุกต์ใช้ในด้านการสื่อสารและโทรคมนาคมได้
6. บอกการนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปประยุกต์ใช้ในด้านความบันเทิงได้
ปัจจุบันมีเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัย ประกอบกับมีความต้องการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศจากงานหลาย ๆ ด้าน จึงเห็นว่าการทำงาน หรือการประมวลผลข้อมูลได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยเพื่อก่อให้เกิดงานที่มีความถูกต้อง รวดเร็ว และสามารถเชื่อมต่อระบบงานนี้ไปยังเครือข่ายทั้งภายในหน่วยงานและภายนอกหน่วยงานได้อย่างแพร่หลาย
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการศึกษา
การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้ในด้านการศึกษาได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเพื่อเพิ่มช่องทางในการศึกษาให้กับผู้เรียน นอกจากเป็นการเรียนภายในห้องเรียนแล้ว ยังสามารถทำเป็นบทเรียนเพื่อให้ผู้เรียนได้นำมาเรียนเพิ่มเติมหรือเป็นการทบทวนนอกเวลาเรียนได้อีกด้วยการประยุกต์ใช้งานเทคโนโลยีกับการศึกษา ได้แก่
1. การเรียนรู้แบบบทเรียนออนไลน์ (E-learning)
การเรียนรู้แบบบทเรียนออนไลน์ เป็นการเรียนที่จะสร้างบทเรียน เพื่อให้ผู้เรียนเลือกเรียนได้ตามความสนใจ ผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต บนเรียนต่าง ๆ เหล่านั้นจะประกอบด้วยภาพ เสียง เนื้อหาบทเรียน หรือบทเรียนมัลติมีเดีย ผู้เรียนสามารถเลือกเวลาในการเรียนได้เอง เพราะเป็นรูปแบบการเรียนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ทุกที่และทุกเวลา การให้บริการแบบบทเรียนออนไลน์จะประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ
1. เนื้อหาบทเรียน
2. ระบบบริหารจัดการการเรียน เพื่อกำหนดลำดับของเนื้อหาบทเรียน กำหนดเกณฑ์หรือเงื่อนไขในการเรียน กำหนดการทดสอบเพื่อวัดความรู้ของผู้เรียน กำหนดเกณฑ์ผ่านในแต่ละบทเรียน ตลอดทั้งการกำหนดระยะเวลาในการเรียนของผู้เรียนแต่ละคน
3. การติดต่อสื่อสาร การเรียนแบบบทเรียนออนไลน์ ผู้เรียนสามารถที่จะติดต่อกับผู้สอนหรือเจ้าของบทเรียนได้ โดยจะใช้วิธีการสื่อสารผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เช่น Chat Webboard E-mail เป็นต้น
2. การเรียนผ่านทางระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ในระบบการศึกษานอกจากทำบทเรียนออนไลน์ เพื่อให้ผู้เรียนได้ศึกษาเพิ่มเติมแล้วในมหาวิทยาลัยต่างประเทศหลายๆแห่ง ได้จัดทำหลักสูตรการเรียนในระบบการเรียนการสอนผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อขยายโอกาสทางการศึกษาไปยังประชาชนในภูมิภาคอื่นๆ ทำให้ผู้เรียนไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายสูง ในการเดินทางไปเรียนในต่างประเทศ รายละเอียดของหลักสูตร กิจกรรมระหว่างเรียน การวัดผลการเรียน เกณฑ์การประเมินต่างๆ และการติดต่อระหว่างอาจารย์กับนักศึกษา หรือระหว่างมหาวิทยาลัยกับนักศึกษาจะใช้วิธีการสื่อสารผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตทั้งสิ้น เมื่อเรียนจบตามหลักสูตรนักศึกษาก็จะได้รับปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยมีความเท่าเทียมกับนักศึกษาที่เรียนอยู่ภายในมหาวิทยาลัยทุกประการ สามารถเรียกได้ว่า “มหาวิทยาลัยเสมือน” หรือในทางการศึกษามักจะเรียกว่า “มหาวิทยาลัยไซเบอร์”
สำหรับประเทศไทย การเรียนในหลักสูตรของมหาวิทยาลัยเสมือนนั้น ทางกระทรวงศึกษาธิการมีข้อบังคับว่า ต้องมีการสอบจริงในทุกห้องสอบทุกภาคการศึกษา โดยมีอาจารย์ผู้ทำหน้าที่ควบคุมห้องสอบ และมีอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิตรวจข้อสอบ เมื่อเรียนจบแล้วนักศึกษาจะต้องมีคุณภาพไม่ด้อยกว่านักศึกษาในภาคปกติ สามารถนำความรู้ไปทำงานได้จริง และเสริมคุณค่าให้กับวิชาชีพในการทำงานได้ดีขึ้น มหาวิทยาลัยเสมือนในประเทศไทย เช่น มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมมาธิราช และมหาวิทยาลัยรังสิต เป็นต้น
3.ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ (E-library)
ระบบงานห้องสมุดเป็นระบบงานที่มีข้อมูลและขั้นตอนการดำเนินงานอยู่หลายขั้นตอนจึงนิยมนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยในการจัดการภายในระบบ โดยจัดทำเป็นโปรแกรมระบบงานห้องสมุด เพื่อลดความยุ่งยากของงาน
เมื่อได้พัฒนางานจากระบบงานห้องสมุดเดิม มาเป็นห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์นั้น ผู้ใช้สามารถสืบค้นข้อมูลของหนังสือที่ต้องการผ่านระบบคอมพิวเตอร์ ที่ให้บริการอยู่ภายในห้องสมุดได้ด้วยตนเอง
นอกจากนี้การจัดเก็บข้อมูลนักศึกษาในฐานข้อมูลของสถานศึกษาต่างๆก็สามารถนำข้อมูลนักศึกษามาเชื่อมโยงเข้ากับระบบงานห้องสมุดได้ โดยใช้บัตรนักศึกษาที่สถานศึกษาจัดทำขึ้นเป็นบัตรสมาชิกห้องสมุดได้ทันที จะทำให้มีความสะดวกมากขึ้น ไม่ทำให้เกิดความซ้ำซ้อนของระบบงานอยู่ภายในหน่วยงานเดียวกัน
ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์สามารถจัดทำเว็บไซต์ของห้องสมุด ทำให้ผู้ใช้สามารถสืบค้นข้อมูลของหนังสือได้ทุกที่และทำการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของสมุดได้อีกด้วย นอกจานี้สิ่งพิมพ์หือหนังสือต่างๆ สามารถนำมาจัดทำในรูปแบบของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์(E-book)ได้ โดยไม่จำเป็นต้องมานั่งอ่านอยู่ภายในห้องสมุดเพียงอย่างเดียวผู้อ่านสามารถดาวน์โหลดหนังสืออิเล็กทรอนิกส์(E-book) ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้ทันที หนังสืออิเล็กทรอนิกส์จะมีลักษณะไฟล์ 4 รูปแบบ คือ
1. HTML : Hyper Text Markup Language
2. PDF :Portable Document Format
3. PML : Peanut Markup Language
4. XML : Extensive Markup Language
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการจัดการสำนักงาน
ปัจจุบันมีหน่วยงานหลายหน่วยงานได้นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้บริหารจัดการภายในสำนักงาน รียกว่า “ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ หรือ MIS” เพื่อความสะดวก รวดเร็ว และถูกต้องในด้านข้อมูล ภายในหน่วยงานจะประกอบด้วยฝ่ายต่างๆที่ต้องใช้ข้อมูลร่วมกันสามารถเชื่อมต่อระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายในหน่วยงาน
นอกจากการเชื่อมต่อระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยใช้โปรแกรมระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการมาใช้ภายในหน่วยงานได้นำรูปแบบการบริการและการใช้งานบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมาใช้ภายในหน่วยงานอีกด้วย จะเรียกรูปแบบของเครือข่ายนี้ว่า “เครือข่ายอินทราเน็ต(Intranet)” เป็นเครือข่ายภายในหน่วยงานหรือองค์กรโดยจัดทำในรูปแบบของเว็บไซต์เพื่อเชื่อมโยงกับฐานข้อมูลของหน่วยงานและจัดเก็บข้อมูลข่าวสาร หรือคำสั่งต่างๆไว้ในเว็บไซต์
สำหรับในสถานศึกษาได้นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริหารจัดการข้อมูลด้วยเช่นกัน นอกจากเป็นการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ผ่านทางเว็บไซต์ของสถานศึกษาแล้วยังช่วยให้นักเรียนนักศึกษาและผู้ปกครองสามารถเข้ามาตรวจสอบข้อมูลของนักเรียนนักศึกษาได้
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการแพทย์
ด้านการแพทย์ได้นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้สำหรับการจัดการงานด้านต่างๆภายในโรงพยาบาล ยังมีระบบการแลกเปลี่ยนข้อมูลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ การสร้างเครือข่ายทางการแพทย์ การรักษาผู้ป่วย การให้ความรู้และการสอนทางไกลผ่านทางระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ เป็นต้น
เนื่องจากในประเทศไทยบุคลากรทางการแพทย์มีจำนวนไม่เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน และแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมักจะอยู่ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่เท่านั้น ดังนั้นทางกระทรวงสาธารณสุขจึงนำระบบแพทย์ทางไกลมาใช้ในการแก้ปัญหาโดยนำเทคโนโลยีด้านการสื่อสารมาประยุกต์ใช้ควบคู่ไปกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์เพื่อแพทย์ที่ทำการรักษาผู้ป่วยในชนบทสามารถสื่อสารกับแพทย์ในเครือข่ายเดียวกันได้ ทำให้แพทย์ที่อยู่ปลายทางสามารถเห็นทั้งภาพและเสียงของผู้ป่วย ทำให้ได้ข้อมูลของผู้ป่วยเพื่อนำไปวิเคราะห์โรคและหาทางรักษาผู้ป่วยร่วมกันได้ เป็นการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างแพทย์ในชนบทกับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านได้ กรณีนี้จะช่วยให้สามารถทำการรักษาผู้ป่วยได้ทันเวลา
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการบริหารงานภาครัฐ
ภารกิจหลักของนโยบายเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการพัฒนาประเทศ คือ การปฏิรูปภาครัฐโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ดังนั้น การบริหารจัดการภาครัฐสมัยใหม่ จึงได้นำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มในการดำเนินงาน ที่เรียกว่า “ระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (E-government)
ระบบรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ นอกจากจะนำมาใช้สำหรับการบริหารงานจัดการภาครัฐอย่างทันสมัยและมีประสิทธิภาพแล้ว ยังปรับปรุงเพื่อนำมาให้บริการแก่ประชาชน ทั้งในด้านข้อมลข่าวสารและการให้บริการด้านธุรกรรมกับภาครัฐอย่างทั่วถึง เพื่อส่งเสริมการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม การสื่อสารด้วยระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือสำคัญในการเข้าถึงการบริการของภาครัฐ โดยได้รับความร่วมมือจาก 3 ฝ่าย ได้แก่ ภาครัฐ ภาคธุรกิจ และประชาชน ทำให้ประชาชนทุกคนสามารถเข้าถึงภาครัฐได้อย่างเท่าเทียมกัน
ระบบภาครัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์จัดแบ่งความต้องการของผู้ใช้บริการออกเป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ ประชาชน ธุรกิจ ข้าราชการ และพนักงานของรัฐ รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐทั้งในและต่างประเทศสามารถจัดรูปแบบของการให้บริการรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ออกเป็น 4 รูปแบบ คือ
1. ภาครัฐต่อประชาชน (Government to Citizen : G2C)
2. ภาครัฐต่อเอกชน (Government to Business : G2B)
3. ภาครัฐต่อภาครัฐ (Government to Government : G2G)
4. ภาครัฐต่อข้าราชการและพนักงานของรัฐ (Government to Employees : G2E)
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านการสื่อสารและโทรคมนาคม
ปัจจุบันนี้เทคโนโลยีด้านการสื่อสารมีความทันสมัยมากขึ้นและมีรู)แบบของการสื่อสารและช่องทางได้แก่ โทรศัพท์ ดาวเทียม เคเบิลทีวี อินเตอร์เน็ต เป็นต้น จึงทำให้มนุษย์สามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารระหว่างกันและกันได้ อย่างสะดวกและรวดเร็ว เทคโนโลยีการสื่อสารต่างๆจะช่วยให้เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็ว
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศด้านความบันเทิง
ด้านความบันเทิงได้นำนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีและเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ ก่อให้เกิดรูปแบบของ “อีซีนีมา” เป็นการบริการสมาชิกหรือลูกค้าแบบออนไลน์

สรุป
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาประยุกต์ใช้กับงานหลายๆด้าน เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการทำงานได้แก่
1.การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการศึกษา เช่น การเรียนรู้แบบบทเรียนออนไลน์ การเรียนรู้ผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ห้องสมุดอินเทอร์เน็ต ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
2.การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในด้านการจัดการสำนักงาน
3.การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในด้านการแพทย์
4.การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในด้านการบริหารงานภาครัฐ เช่น ด้านการจัดเก็บภาษี

บทที่ 10 การค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต

ข้อเสนอแนะสำหรับครูและผู้ปกครอง
บทเรียนนี้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
มาตรฐาน ง 3.1 เข้าใจ เห็นคุณค่า และใช้กระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศในการสืบค้นข้อมูลการเรียนรู้ การสื่อสาร การ
แก้ปัญหา การทำงาน และอาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิผล และมีคุณธรรม
ตัวชี้วัด : สิ่งที่นักเรียนพึงรู้และปฏิบัติได้
ง 3.1 (9) ติดต่อสื่อสาร ค้นหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ต
ง 3.1 (10) ใช้คอมพิวเตอร์ในการประมวลผลข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ เพื่อประกอบการตัดสินใจ
ง 3.1 (11) ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศนำเสนองานในรูปแบบที่เหมาะสม ตรงตามวัตถุประสงค์ของงาน
ง 3.1 (12) ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสร้างชิ้นงานหรือโครงงานอย่างมีจิตสำนึกและความรับผิดชอบ
ง 3.1 (13) บอกข้อควรปฏิบัติสำหรับผู้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
แนวคิด
การค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตทำให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลจากหลายแหล่งมากกว่าการค้นหาข้อมูลจากภายในห้องสมุด แบ่งประเภทในการค้นหาข้อมูลที่แตกต่างกัน เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเลือกประเภทและรูปแบบของการค้นหาข้อมูล ผู้ใช้ต้องศึกษารูปแบบต่าง ๆ ของการค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ที่ให้บริการ ทำให้สามารถค้นหาข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงกับความต้องการมากที่สุด
สาระการเรียนรู้
1. ความหมายของเครื่องจักรค้นหา
2. ประเภทของการค้นหาข้อมูล
3. การค้นหาโดยใช้ Search Engines
4. เทคนิคในการค้นหาข้อมูล
กิจกรรมฝึกทักษะที่ควรเพิ่มให้นักเรียน
1. อธิบายความหมายของเครื่องจักรค้นหาได้
2. บอกประเภทของการค้นหาข้อมูลได้
3. บอกวิธีการค้นหาข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ ได้
4. บอกเทคนิคในการค้นหาข้อมูลรูปแบบต่าง ๆ ได้

ความหมายของเครื่องจักรค้นหา
ปัจจุบันโลกของอินเทอร์เน็ตมีข้อมูลให้เราได้ค้นหาอย่างมากมาย มีเว็บไซต์ที่บรรจุข้อมูลไว้เพื่อให้เราเข้าไปค้นหา ถ้าเราต้องการพิมพ์ชื่อเว็บไซต์ เพื่อเข้าไปค้นหาข้อมูลเราต้องรู้จัก URL ของเว็บไซต์ต่าง ๆ เหล่านั้น ทำให้ผู้ใช้ไม่สะดวกในการใช้งานจึงได้มีผู้สร้างโปรแกรมขึ้นโดยรวบรวมเว็บไซต์ต่าง ๆ จัดไว้เป็นหมวดหมู่ของข้อมูลเหมือนกับห้องสมุดที่มีหนังสือมากมาย ตั้งหมวดหมู่หนังสือ เพื่อจะได้จัดหนังสือให้เป็นระเบียบตามหมวดหมู่ ผู้ที่เข้ามาใช้งานก็สามารถหาหนังสือตามหมวดหมู่ที่ตนเองต้องการได้ทันที ซึ่งภายในหมวดหมู่นั้นก็จะมีหนังสือหลายเล่มให้เราเลือกเช่นเดียวกับการจัดหมวดหมู่ของเว็บไซต์ที่ได้รวบรวมไว้ เพื่อให้ใช้สามารถค้นหาได้ง่ายขึ้น โดยเลือกค้นหาตามหมวดหมู่ หรือหัวข้อเรื่องที่ตนเองสนใจได้โดยไม่ต้องรู้จัก URL ของเว็บไซต์นั้นเพียงแต่เรากรอกคำ หรือหัวเรื่องที่ต้องการค้นหาเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องในเรื่องเดียวกันก็จะแสดงออกมา วิธีนี้เป็นลักษณะของการใช้เครื่องมือช่วยในการค้นหาข้อมูลที่เรียกว่า “เครื่องจักรค้นหา (Search Engines)”
เครื่องจักรค้นหา (Search Engines) คือ เว็บไซต์ที่ให้บริการในด้านการค้นหาข้อมูลต่าง ๆ บนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตให้แก่ผู้ใช้บริการ

ประเภทของการค้นหาข้อมูล
การค้นหาข้อมูลบนอินเตอร์เน็ต สามารถแบ่งตามลักษณะการทำงานได้ 3 ประเภท คือ
1. Search Engine การค้นหาข้อมูลด้วยคำที่เจาะจง
Search Engine การค้นหาข้อมูลด้วยคำที่เจาะจง เป็นเว็บไซต์ที่ช่วยค้นหาข้อมูลโดยใช้โปรแกรมช่วยในการค้นหาที่เรียกว่า “Robot” ทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเว็บไซต์ในอินเทอร์เน็ตมาเก็บไว้ในฐานข้อมูลการค้นหาข้อมูลรูปแบบนี้จะช่วยให้สามารถค้นหาข้อมูลได้ตรงกับความต้องการ เพราะได้ระบุคำที่เจาะจงลงไปเพื่อให้ Robot เป็นตัวช่วยในการค้นหาข้อมูลเป็นรูปแบบที่เป็นที่นิยมมาก เช่น www.google.com
2. Search Directories การค้นหาข้อมูลตามหมวดหมู่
Search Directories การค้นหาข้อมูลตามหมวดหมู่ มีเว็บไซต์ที่เป็นตัวกลางในหารรวบรวมข้อมูล ในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จัดข้อมูลเป็นหมวดหมู่เพื่อให้ใช้สามารถเลือกข้อมูลตามที่ต้องการได้ โดยการจัดหมวดหมู่ของข้อมูลจะจัดตามข้อมูลที่คล้ายกัน หรือเป็นประเภทเดียวกันนำมารวมรวบไว้ในกลุ่มเดียวกัน
ลักษณะการค้นหาข้อมูลแบบ Search Directories ทำให้ผู้ใช้สะดวกในการเลือกข้อมูลที่ต้องการค้นหาและทำให้ได้ข้อมูลตรงกับความต้องการ
การค้นหาวิธีนี้มีข้อดี คือ สามารถเลือกจากชื่อไดเรกทอรีที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต้องการค้นหา และสามารถเลือกเข้าไปดูว่ามีเว็บไซต์ใดบ้างได้ทันที เช่น www.sanook.com
3. Metasearch การค้นหาข้อมูลจากหลายแหล่งข้อมูล
Metasearch การค้นหาข้อมูลจากหลายแหล่งข้อมูล เป็นการค้นหาข้อมูลจากหลาย ๆ Search Engine ในเวลาเดียวกัน เพราะเว็บไซต์ที่เป็น Metasearch จะไม่มีฐานข้อมูลของตนเอง แต่จะค้นหาเว็บเพจที่ต้องการโดยวิธีการดึงจากฐานข้อมูลของ Search Site จากหลายแห่งมาใช้แล้วจะแสดงผลให้เลือกตามต้องการ เช่น www.thaifind.com

การค้นหาโดยใช้ Search Engines
การใช้การค้นหาข้อมูลบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
 การระบุคำเพื่อใช้ในการค้นหา
การระบุที่ต้องการค้นหา หรือที่เรียกว่า “คีย์เวิร์ด (Keyword)” โดยในเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลจะมีช่องเพื่อให้กรอกคำที่ต้องการค้นหาลงไป แล้วจะนำคำดังกล่าวไปค้นหาจากข้อมูลที่ได้จัดเก็บไว้ในฐานข้อมูลของระบบ
โดยจะเริ่มจากการเลือกเว็บไซต์ที่ให้บริการในการค้นหาข้อมูลที่เรามักจะเรียกว่า “เว็บไซต์สำหรับ Search Engines” มีเว็บไซต์ต่าง ๆ หลายเว็บไซต์ที่ให้บริการด้านนี้ เช่น www.google.co.th การใช้คีย์เวิร์ดในการค้นหาข้อมูลต้องพยายามระบุคำให้ชัดเจน เพื่อจะสามารถให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการหรือให้ใกล้เคียงกับสิ่งที่เราต้องการให้มากที่สุด
วิธีปฏิบัติในการค้นหาข้อมูลแบบคีย์เวิร์ด สามารถทำได้ดังต่อไปนี้
1. พิมพ์ชื่อเว็บไซต์ที่เป็น Search Engines ในช่อง Address เช่น www’google.co.th
2. กรอกคำที่ต้องการค้นหาในช่องที่เว็บไซต์ได้กำหนดไว้
3. เว็บไซต์จะค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ต่าง ๆ ที่มีคำที่เหมือนกันที่เรากรอกไว้ในช่องที่ต้องการค้นหาข้อมูล
4. คลิกเลือกเว็บไซต์ที่ต้องการค้นหารายละเอียดของข้อมูลต่อไป ตัวอย่างเช่น เมื่อคลิกเลือกการศึกษา Education
 การค้นหาจากหมวดหมู่ หรือไดเรกทอรี (Directories)
การให้บริการค้นหาข้อมูลด้วยวิธีนี้เปรียบเสมือนเราเปิดเข้าไปในห้องสมุด ที่จัดหมวดหมู่ของหนังสือไว้แล้ว ภายในหมวดใหญ่นั้น ๆ ประกอบด้วยหมวดหมู่ย่อย ๆ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ชัดเจนยิ่งขึ้น หรือแบ่งประเภทของข้อมูลให้ชัดเจน จะสามารถเข้าไปหยิบหนังสือเล่มที่ต้องการได้แล้วเปิดเข้าไปอ่านเนื้อหาด้านในของหนังสือเล่มนั้น ๆ วิธีนี้ช่วยให้ค้นหาข้อมูลได้ง่ายขึ้น มีเว็บไซต์มากมายที่ให้บริการการค้นหาข้อมูลในรูปแบบนี้ เช่น
 www.siamguru.com  www.archive.com
 www.sanook.com  www.search.msn.com
 www.excite.com  www.thaiwebhunter.com
 www.hunsa.com  www.siam-search.com
วิธีปฏิบัติในการค้นหาข้อมูลแบบไดเรกทอรี สามารถทำได้ดังต่อไปนี้ คือ
1. พิมพ์ชื่อเว็บไซต์ที่เป็น Search Engine ในช่อง Address เช่น www.sanook.com
2. เลือกหัวข้อเรื่องที่ต้องการค้นหาข้อมูล เช่น การศึกษา จะแบ่งเป็นหัวข้อย่อยดังนี้
โรงเรียน สถาบันอุดมศึกษา สถาบันกวดวิชาและสอนพิเศษ แนะแนวการศึกษา...
3. เมื่อคลิกที่หัวเรื่องย่อยที่ต้องการ เช่น สถาบันอุดมศึกษา
4. จะปรากฏหัวข้อเรื่องย่อยของสถาบันอุดมศึกษา ดังนี้
ทำให้เลือกข้อมูลได้ตรงกับความต้องการได้มากที่สุด โดยไม่เสียเวลาในการเลือกข้อมูล เพราะได้จัดข้อมูลแบ่งเป็นกลุ่มข้อมูลย่อย ๆ
5. นอกจากแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยของข้อมูลแล้วยังมีการเชื่อมโยงข้อมูลไปยังเว็บไซต์ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้ได้เลือกค้นหาข้อมูลอีกมากมาย เช่น การเชื่อมโยงจาก www.sanook.com ไปยังเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัย

เทคนิคในการค้นหาข้อมูล
ข้อมูลได้จัดเก็บไว้ในเว็บไซต์ต่าง ๆ มีจำนวนมาก ดังนั้นเมื่อต้องการค้นหาข้อมูลจากเว็บไซต์ด้วยวิธีการค้นหาข้อมูลแบบคีย์เวิร์ด จึงมีเทคนิคที่ช่วยในการค้นหาเพื่อทำให้สามารถค้นหาข้อมูลได้รวดเร็วและตรงตามที่ต้องการให้มากที่สุด ประกอบด้วยเทคนิคในการค้นหาข้อมูลดังต่อไปนี้
 การใช้ภาษา
การค้นหาข้อมูลแบบคีย์เวิร์ดสามารถค้นหาได้ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ รูปแบบของภาษาไทยนั้นเป็นการเขียนประโยคที่ต่อเนื่อง เช่น ขนมไทย ศิลปวัฒนธรรมไทย สมุนไพรไทย เป็นต้น แต่การค้นหาด้วยคำภาษาอังกฤษจะแตกต่างจากภาษาไทย คือ ภาษาอังกฤษแบ่งวรรคของคำ เช่น Thai food ถ้าพิมพ์คำนี้แล้ว ผลลัพธ์ที่ได้จะแสดงเว็บไซต์ที่มีคำว่า Thai หรือ Food หรือ Thai food ออกมาให้ทั้งหมด ทำให้ได้รับข้อมูลมากมายเกินความต้องการ แต่ถ้าต้องการให้คำว่า Thai food เป็นข้อความเดียวกัน ต้องพิมพ์คำดังกล่าวไว้ในเครื่องหมายคำพูด (“ “) เช่น “Thai food” แปลว่าอาหารไทยนั้น เมื่อให้เว็บไซต์ค้นหาข้อมูลให้ก็จะแสดงเฉพาะเว็บไซต์ที่มีคำว่า Thai food เท่านั้น จะทำให้ข้อมูลที่ต้องการแคบลง ช่วยให้เราสามารถหาผลลัพธ์ที่ต้องการได้เร็วขึ้น
ตัวอย่าง การค้นหาข้อมูลคำว่า Thai food
ผลลัพธ์ที่ได้คือจะแสดงเว็บไซต์ที่มีคำว่า Thai หรือหรือ Food หรือ Thai food ออกมาให้ทั้งหมด
ตัวอย่าง การค้นหาข้อมูลคำว่า “Thai food”
ผลลัพธ์ที่ได้คือแสดงเฉพาะเว็บไซต์ที่มีคำว่า Thai food เท่านั้น
 ควรบีบประเด็นให้แคบลง
ควรบีบประเด็นให้แคบลง คือ การใช้คำให้ชัดเจน ตรงประเด็นที่ต้องการผลลัพธ์ให้มากที่สุด เพราะข้อมูลบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีอยู่มากมาย ถ้าสามารถระบุคำที่ชัดเจนและตรงประเด็นแล้ว ทำให้ได้รับข้อมูลที่ตรงกับความต้องการชัดเจน และสามารถหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เช่น ถ้าต้องการค้นหาข้อมูลของอาหารไทยเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น ควรที่จะกำหนดข้อความในการค้นหา คือ “Thai food in Thailand” จะเป็นการกรองข้อมูลให้เราได้ประเด็นที่แคบลง
 การใช้คำที่มีความหมายเหมือนกัน
คำในภาษาอังกฤษมีหลาย ๆ คำที่มีความหมายเหมือนกัน เช่น World และ Earth แปลว่า “โลก” ถ้าต้องการหาคำว่า world แล้วผลลัพธ์ที่ได้ไม่สามารถหาข้อมูลของคำนี้ได้ เราควรลองเปลี่ยนเป็นคำอื่นที่มีความหมายเหมือนกัน
 การใช้โอเปอเรเตอร์ หรือบูลีน
เมื่อต้องการที่เจาะจงข้อมูลสามารถที่จะนำโอเปอเรเตอร์ หรือบูลีนมาเป็นเครื่องมือช่วยในการค้นหาข้อมูลได้รวดเร็วและตรงกับความต้องการมากที่สูด โอเปอเรเตอร์ที่ใช้ คือ AND OR AND NOT และเครื่องหมาย
1. AND “และ” เช่น computer and design ผลลัพธ์ที่ได้ต้องมีทั้งคำว่า “computer” และ “design” อยู่ด้วยกันเท่านั้นจึงจะดึงข้อมูลนั้นมาแสดง +,-
2. OR “หรือ” การใช้คำว่า ฯฑ จะมีคำใดคำหนึ่งเพียงคำเดียวก็จะดึงข้อมูลนั้นมาแสดงให้ เช่น computer or design คือ จะมีแต่คำว่า computer หรือ มีแต่คำว่า design หรือมีทั้งคำว่า computer และ design ก็จะดึงข้อมูลนั้นมาแสดง การใช้คำว่า OR ช่วยในการค้นหาข้อมูลนั้นทำให้ข้อมูลที่ได้รับมีขอบเขตกว้างมาก
3. AND NOT หรือ NOT เช่น computer AND NOT Design หมายความว่า ให้ค้นหาข้อมูลที่มีคำว่า computer แต่ต้องไม่มีคำว่า design มาด้วย ฉะนั้นผลลัพธ์ที่ได้เมื่อใช้ข้อความนี้ในการค้นหาข้อมูลก็จะแสดงข้อมูลเฉพาะที่มีแต่คำว่าคอมพิวเตอร์เท่านั้น ถ้าข้อมูลใดมีคำว่า “design” อยู่ด้วยจะไม่ดึงเอาข้อมูลนั้นมาแสดง
4. เครื่องหมาย + (บวก) หมายความว่า คำใดที่ตามหลังเครื่องหมายนี้จะต้องมีคำนั้นอยู่ในเว็บเพจนั้นเหมือนกับคำว่า AND
5. เครื่องหมาย – (ลบ) หมายความว่า คำใดที่ตามหลังเครื่องหมายนี้จะต้องไม่มีคำนั้นอยู่ในเว็บเพจนั้นเหมือนกับคำว่า NOT เช่น +computer –design ข้อมูลที่จะแสดงออกมาจะต้องมีคำว่า computer แต่ไม่มีคำว่า design
ตัวอย่างเว็บไซต์ที่ช่วยในการค้นหาข้อมูล
www.siamguru.com www.sanook.com
www.google.co.th www.search.com
www.thaihostsearch.com www.catcha.co.th
www.hotbot.com www.search.msn.com
www.yahoo.com www.excite.com
www.thaifind.com www.siam-search.com
www.sansarn.com www.thai-index.com
www.madoo.com www.allofthai.com

สรุป
การค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต เป็นการบริการบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากบนระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีแหล่งข้อมูลอยู่มากมายและมีความสะดวกในการค้นหามากกว่าการค้นหาข้อมูลจากห้องสมุด การค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตจะต้องใช้เว็บไซต์ประเภท Search Engines เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการค้นหาข้อมูลข่าวสารได้
ประเภทของการค้นหาข้อมูลแบบเป็น 3 ประเภท คือ การค้นหาข้อมูลด้วยคำที่เจาะจงการค้นหาข้อมูลตามหมวดหมู่ และการค้นหาข้อมูลจากหลายแหล่งข้อมูล ผู้ใช้สามารถเลือกวิธีการค้นหาและใช้เทคนิคในการค้นหาข้อมูลช่วย เพื่อที่จะจะได้รับข้อมูลให้ตรงตามความต้องการ และทำให้การค้นหาข้อมูลทำได้เร็วขึ้นอีกด้วย
ปัจจุบันมีเว็บไซต์ที่ทำหน้าที่เป็นเว็บไซต์ประเภท Search Engines และเว็บไซต์ที่มห้บริกาการค้นหาข้อมูลอยู่หลายเว็บไซต์ ทำให้ผู้ใช้ได้รับความสะดวกยิ่งขึ้น และการใช้บริการรูปแบบนี้เสมือนเป็นการเปิดประตูห้องสมุดขนาดใหญ่ที่มีข้อมูลอยู่มากมาย ทำให้ข้อมูลที่ได้รับไม่เพาะเจาะจงอยู่เพียงในขอบเขตใดขอบเขตหนึ่งเท่านั้น แต่สามารถหาได้จากหลายแหล่งข้อมูลทั่วโลก

กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้
1. ให้นักเรียนแต่ละคนบอกวิธีการค้นหาข้อมูลที่ตนเองเคยใช้ รวมทั้งเว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาข้อมูลจำนวน 5 เว็บไซต์
2. ให้นักเรียนแต่ละคนค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับ “เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์สมัยใหม่” คนละ 2 เรื่อง

วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Hardware

ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึงส่วนประกอบของตัวเครื่องที่เราสามารถจับต้องได้จะสามารถแบ่งส่วน
ประกอบของฮาร์ดแวร์ออกได้เป็น 5 หน่วยที่สำคัญ ดังนี้
1.หน่วยรับข้อมูล (Input Unit) ทำหน้าที่ในการรับโปรแกรม และข้อมูลเข้าสู่คอมพิวเตอร์ ตัวอย่างอุปกรณ์ที่ใช้ในการรับข้อมูลเข้า ได้แก่ แป้นพิมพ์หรือคีย์บอร์ด (Keyboard) เครื่องสแกนต่างๆ เช่น เครื่องรูดบัตร สแกนเนอร์ ฯลฯ
2.หน่วยความจำ (Memory Unit) ทำหน้าที่เก็บโปรแกรมหรือข้อมูลที่รับมาจากหน่วยรับข้อมูล เพื่อเตรียมส่งให้หน่วยประมวลผลกลางทำการประมวลผล และรับผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลเพื่อเตรียมส่งออกหน่วยแสดงข้อมูลต่อไป
3.หน่วยประมวลผลกลาง (CPU หรือ Central Processing Unit) ทำหน้าที่ปฏิบัติงานตามคำสั่งที่ปรากฏอยู่ในโปรแกรม หน่วยนี้จะประกอบด้วยหน่วยย่อยๆ อีก 2 หน่วย ได้แก่ หน่วยคำนวณเลขคณิตและตรรกวิทยา (ALU หรือ Arithmetic and Logical Unit) และ หน่วยควบคุม (CU หรือ Control Unit)
4.หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storge) ทำหน้าที่เก็บข้อมูลหรือโปรแกรมที่จะป้อนเข้าสู่หน่วยความจำหลักภายในเครื่องก่อนทำการประมวลผลโดย ซีพียู รวมทั้งเป็นแหล่งเก็บผลลัพธ์จากการประมวลผลด้วย เพื่อการใช้งานในภายหลัง
5.หน่วยแสดงข้อมูล (Output Unit) ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์จากการประมวลผล เช่น จอภาพ เครื่องพิมพ์ เป็นต้น
หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit or CPU)
หน่วยประมวลผลกลางบางครั้งอาจเรียกว่า ซีพียู (CPU) หรือ โปรเซสเซอร์ (Processor) เป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของคอมพิวเตอร์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสมองของคอมพิวเตอร์ หน่วยประมวลกลางนี้ ประกอบด้วยวงจรทางไฟฟ้ามากมาย ที่อยู่แผ่นซิลิกอนซิป ซึ่งมีขนาดที่เล็กมากๆ มีหน้าที่ดังนี้
1.ประมวลผลตามคำสั่งเขียนไว้ในโปรแกรม
2.รับส่งข้อมูล โดยติดต่อกับหน่วยความจำภายในเครื่อง
3.ติดต่อรับส่งข้อมูลกับผู้ใช้ โดยผ่านหน่วยรับข้อมูลและหน่วยแสดงผล
4.ย้ายข้อมูลและคำสั่งจากหน่วยงานหนึ่งไปยังอีกหน่วยงานหนึ่ง
ส่วยประกอบของหน่วยประมวลผลกลางประกอบด้วย 2 หน่วยย่อย คือ
1.หน่วยควบคุม (Control Unit) จะมีหน้าที่ในการสั่งงาน และประสานงานการดำเนินการทั้งหมดของระบบ ได้แก่
- ควบคุมอุปกรณ์นำข้อมูลเข้า และอุปกรณ์แสดงผล
- ตัดสินใจในการนำข่าวสารใดเข้าและออกจากแหล่งเก็บ
- กำหนดเส้นทางการส่งข่าวสารจากจากแหล่งเก็บไปยัง ALU และจาก ALU ไปยังแหล่งเก็บ
- มีหน่วยที่ทำหน้าที่ในการถอดรหัสว่าจะให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำอะไร
- ควบคุมการถอดรหัสให้เป็นไปตามขั้นตอนการทำงานของหน่วยเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมา การทำงานของหน่วยควบคุมนี้จะอยู่ภายใต้คำสั่งของโปรแกรมที่เก็บไว้ในหน่วยความจำหลัก
2.หน่วยคำนวณผลเลขคณิตและตรรกวิทยา (Arithmetic and Logical Unit : ALU) การทำงานของหน่วยคำนวณคณิตและตรรกวิทยามี 2 หน้าที่คือ
2.1 การดำเนินงานงานเชิงเลขคณิต (Arithmetic Operation) ทำหน้าที่ในการคำนวณอันได้แก่ การบวก ลบ คูณ หาร
2.2 การดำเนินงานเชิงตรรกวิทยา (Logical Operation) ทำหน้าที่ในการเปรียบเทียบระหว่างข้อมูล มีการทดสอบตามเงื่อนไขมากกว่า น้อยกว่า เท่ากับ
การปฏิบัติงานของหน่วยประมวลผลกลาง
จากโปรแกรมที่ประกอบด้วยกลุ่มของคำสั่ง ที่ต้องให้คอมพิวเตอร์ทำการประมวลผล แต่ละคำสั่ง ประกอบด้วย รหัสให้ทำงาน ซึ่งจะบอกตำแหน่งที่เก็บข้อมูลในหน่วยความจำ เช่น Symbol A หรือ B ตัวอย่างของคำสั่งหนึ่งๆ ที่มีอยู่ในโปรแกรมภาษาแอสเซมบลี เช่น ADD A,B หมายถึงให้มีการนำข้อมูลที่เก็บอยู่ใน Symbol A และข้อมูลที่เก็บอยู่ใน Symbol B ในหน่วยความจำ มาทำการบวกกัน ซึ่งจะต้องถูกแปลเป็นภาษาเครื่อง ก่อนการปฏิบัติงานของหน่วยประมวลกลางเสมอ
การปฏิบัติงานของหน่วยควบคุม (CU)
ภายในหน่วยควบคุม จะมีที่เก็บข้อมูลชั่วคราวที่เรียกว่า Instruction register ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายหน่วยความจำ แต่ละแยกจากหน่วยความจำต่างหาก จะมีหน้าที่เก็บคำสั่งที่ถูกนำเข้ามาจากหน่วยความจำ เพื่อเตรียมนำไปประมวลผล โดยที่ว่าก่อนที่คำสั่งใดๆ ในโปรแกรมถูกประมูลผล จะต้องมีการอ่านโปรแกรมซึ่งประกอบด้วยชุดคำสั่งต่างๆ รวมทั้งจะต้องอ่านข้อมูล ที่จะถูกนำไปใช้ในโปรแกรมเข้าไปอยู่ในหน่วยความจำหลักก่อน โดยข้อมูลหรือโปรแกรมนี้ อาจนำเข้ามาจากอุปกรณ์นำเข้าข้อมูล หรือจากหน่วยเก็บข้อมูลสำรองอย่างใดอย่างหนึ่ง
การปฏิบัติงานของหน่วยคำนวณทางคณิตศาสตร์และตรรกศาสตร์ (ALU)
ภายใน ALU นี้จะมีวงจรการคำนวณการบวก ลบ คูณ หาร และแม้กระทั่งการหาค่ารากที่สองอยู่ จะมีที่เก็บข้อมูลชั่วคราวที่เรียกว่า storage registers สำหรับเก็บค่าข้อมูลตัวเลขที่จะถูกใช้ในการคำนวณ และเปรียบเทียบนี้ รวมทั้งเก็บผลลัพธ์ที่ได้จากการคำนวณด้วยซึ่งจำนวนของ storage registers ใน ALU นี้ จะขึ้นกับประเภทของคอมพิวเตอร์ที่ใช้ เมื่อจะมีการคำนวณหรือเปรียบเทียบตัวเลขใดๆ ตัวเลขเหล่านั้นจะถูกนำเข้ามาจากหน่วยความจำหลักและจะถูกนำไปเก็บไว้ที่ storage registers นี้ใน ALUถ้าจะทำการคำนวณก็จะส่งข้อมูลต่อไปยังวงจรการคำนวณ สำหรับผลลัพธ์ที่ได้จากการคำนวณและเปรียบเทียบก็จะถูกส่งกลับมาเก็บไว้ยัง storage registers อีกครั้ง แล้วส่งต่อไปยังหน่วยความจำหลัก เพื่อเตรียมส่งออกหน่วยนำข้อมูลออกต่อไป
กล่าวโดยสรุป จะสามารถแสดงขั้นตอนการทำงานของ CPU ในการประมวลผลคำสั่ง 1 คำสั่ง ในโปรแกรม ได้ดังนี้
1.หน่วยควบคุม จะเข้าไปอ่านคำสั่งมาจากหน่วยความจำหลัก 1 คำสั่ง
2.หน่วยควบคุม จะทำการถอดรหัสคำสั่งนั้น ว่ามีความหมายว่าอย่างไร ให้เป็นรหัสการทำงาน โดยจะแปลส่วนของ Opcode ก่อน ว่าคืออะไร ซึ่งก็จะรู้ถึงตำแหน่งของข้อมูลที่จะนำมาประมวลผล เมื่อแปลเสร็จเรียบร้อย ก็จะส่งข้อมูลไปให้หน่วยคำนวณ เพื่อปฏิบัติตามคำสั่งนั้นต่อไป
ขั้นตอน 2 ขั้นตอนนี้ จะเรียกว่าขั้นตอนเวลาของคำสั่ง
1.ข้อมูลจะถูกนำเข้าจากหน่วยความหลักเข้าไปยังหน่วยคำนวณ เพื่อทำการประมวลผลตามคำสั่งนั้น
2.ผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผล จะถูกนำไปเก็บอยู่ในหน่วยความจำหลัก
ขั้นตอน 3 และ 4 นี้ จะเรียกว่า ขั้นตอนของเวลาปฏิบัติการ ซึ่งเมื่อทำคำสั่งแรกจบแล้ว ก็จะไปอ่านคำสั่งต่อไป แล้วทำตามขั้นตอนทั้ง 4 เหมือนเดิม จนกว่าจะจบโปรแกรม
วงจรรอบเครื่องจักร (Machine Cycle)
หมายถึง ความเร็วในการประมวลหนึ่งคำสั่งใน Program ถ้าเครื่องใดมี Machine Cycle น้อย ก็จะมีประสิทธิภาพดี มีความเร็วสูง และมักมีราคาแพง Machine Cycle ประกอบด้วย
1.เวลาของคำสั่ง(Instruction time หรือ l- time) ซึ่งเริ่มตั้งแต่
- การนำคำสั่งจากหน่วยความจำหลักไปยัง CPU
- การถอดรหัสคำสั่ง หรือแปลคำสั่ง
- การหาตำแหน่งของ Operand
- การหาตำแหน่งของคำสั่งถักไป
2.เวลาปฏิบัติการ (Execution Time หรือ E- time) ซึ่งเริ่มตั้งแต่
- การนำข้อมูลที่กำหนดโดย Operand ไปยัง ALU
- การประมวลผลคำสั่งนั้น
- การเก็บผลลัพธ์ ที่ได้จากการคำนวณลงสู่หน่วยความจำหลัก
Machine Cycle มีหน่วยวัดเป็นหน่วยย่อยของวินาที ดังนี้
- มิลลิวินาที (Millisecond) = 1/10 วินาที
- ไมโครวินาที (Microcecond) = 1/10 วินาที
- นาโนวินาที (Nanosecond) = 1/10 วินาที
- พิโควินาที (pecosecond) = 1/10 วินาที
หน่วยความจำ (Memory Unit)
หมายถึงหน่วยความจำภายใน (Internal Storage) ซึ่งจะอยู่ใกล้ชิดกับ CPU หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า หน่วยความจำหลัก (Main Menory) หรือ หน่วยความจำปฐม (Primary Storage) เนื่องจากบรรดาข้อมูลและโปรแกรมต่างๆ จากหน่วยนำข้อมูลเข้าหรือหน่วยเก็บข้อมูลสำรอง สิ่งที่ใช้ในการผลิตหน่วยความจำได้แก่
- ขดลวดแม่เหล็ก (Magnetic Core)
- สารกึ่งตัวนำ (Semiconductor Memory)
- วงจรไฟฟ้าขนาดเล็ก (Monolithic Memory chip)
- วงจรรวม (Integrated Circuit or IC)
หน่วยความจำยังแบ่งออกได้อีกเป็น 2 ประเภท
1.หน่วยความจำแบบลบเลือนได้ (Volatile Memory) เป็นหน่วยความจำ ที่จะเก็บข้อมูลได้ เมื่อมีกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยงอยู่เท่านั้น ถ้าต้องการเก็บข้อมูลในหน่วยความจำนี้ไว้ถาวร ก็ต้องทำการถ่ายเทข้อมูลนี้ลงสู่หน่วยเก็บข้อมูลสำรองในขณะที่ไฟยังไม่ดังนั่นเอง
2.หน่วยความจำแบบไม่ลบเลือน โดยปกติข้อมูลจะถูกบันทึกมาแล้วจากโรงงานที่ผลิตรอม จึงไม่สามารถทำการลบหรือแก้ไขข้อมูลในรอมได้ ผู้ใช้สามารถเรียกหรืออ่านข้อมูลมาใช้ได้อย่างเดียว แต่ห้ามทำการบันทึกข้อมูลซ้ำลงไปอีกแม้ไฟดับหรือปิดเครื่อง ข้อมูลก็ยังคงอยู่ตลอด
นอกจากนี้ ยังมีหน่วยความจำแบบอื่นๆ ที่จะกล่าวถึง ได้
PROM (Programmable ROM) จะมีลักษณะที่คล้ายกับ ROM มาก คือ เมื่อโปรแกรมมาแล้วก็จะสามารถอ่านได้เพียงอย่างเดียว แต่ไม่สามารถนำมาเขียนโปรแกรมใหม่ได้อีกครั้ง
EPROM (Erasable PROM) มีลักษณะคล้าย ROM และ PROM แต่จะสามารถลบข้อมูลได้หลายครั้ง โดยการใช้แสงอับตร้าไวโอเลต
EEPROM (Electrically EPROM) มีลักษณะคล้ายกับ EPROM แต่การลบข้อมูลจะใช้กระแสไฟฟ้าแทน
FLASH เป็นเทคโนโลยีของหน่วยความจำแบบ Non-Volatile Memory ซึ่งจะมาแทนที่ EEPROM หน่วยความแบบนี้จะใช้กับงานทางด้านอิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องการหน่วยเก็บข้อมูลความจุสูง สามารถแก้ไขโปรแกรมใน FLASH ได้ ในขณะที่ ROM ทำไม่ได้
หน่วยเก็บข้อมูลสำรอง (Secondary Storage)
สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภท
1.แบบเข้าถึงข้อมูลแบบลำดับ (Sequential access media) เป็นสื่อที่ต้องมีการจัดเก็บและเรียกใช้ข้อมูลโดยการเรียบตามลำดับ
2.แบบเข้าถึงข้อมูลโดยตรง (Direct access media) เป็นสื่อที่สามารถจัดเก็บและเรียกใช้ข้อมูลที่ต้องการได้โดยตรงโดยไม่ต้องอ่านเรียงลำดับ
เทปแม่เหล็ก (Magnetic Tape)
เป็นสื่อกลางในการนำข้อมูลเข้าหรือแสดงข้อมูลออก แต่เดิมเทปเคยเป็นอุปกรณ์ที่ใช้เก็บข้อมูลสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ในระดับมินิ และเมนเฟรมมาก่อน ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ในการเก็บสำรองข้อมูล เพื่อป้องกันการเสียหายของข้อมูลที่อาจเกิดขึ้นได้
นอกจากนี้ เทปแม่เหล็กนี้จะมีประโยชน์มากในการย้ายข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปอีกเครื่องที่อาจอยู่ห่างไกลกัน จึงเป็นที่นิยมกันมากในปัจจุบัน ลักษณะของเทปแม่เหล็กจะเป็นแผ่นยาวทำจากสารพลาสติกที่เรียกว่า ไมลาร์ ซึ่งฉาบด้วยออกไซด์ของเหล็ก (Iron Oxide) สามารถนำกลับมาใช้บันทึกซ้ำได้อีกการบรรจุข้อมูลลงบนเทป กระทำโดยการสร้างสนามแม่เหล็กลงบนเนื้อเทป เทปแม่เหล็กนี้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดคือ
1.เทปม้วน (Reel Tape) เทปชนิดนี้มีใช้กันทั่วไปในเครื่องพวกมินิคอมพิวเตอร์และเมนเฟรม ลักษณะจะเป็นเนื้อเทปพันอยู่รอบวงล้อขนาดใหญ่ เวลาทำงานจะต้องเอาไปใส่ไว้ในเครื่องอ่านเทปที่มีขนาดโต ตัวม้วนเทปก็จะหมุนไปหมุนมา เพื่อค้นหาข้อมูลโดยจะมีความเร็วค่อนข้างช้า เทปชนิดม้วนแบบนี้จะมีการป้องกันการบันทึกข้อมูลผิดม้วน ซึ่งอาจไปบันทึกในม้วน เทปที่ยังต้องการใช้ข้อมูลอยู่ ทำให้ข้อมูลเดิมถูกทำลายลงไป
2.เทปตลับ (Tape cassette and cartridges) เป็นเทปที่กำลังเป็นที่นิยมขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีความคล่องตัวในการใช้งาน เวลาใช้ก็เพียงแต่เสียบตลับเทปลงในอุปกรณ์อ่านเทปได้เลย ซึ่งนับว่าสะดวกกว่าเทปแบบม้วนเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ในปัจจุบันได้มีการผลิตเทปตลับ ซึ่งมีขนาดเล็กมาก เกือบเท่ากับตลับเทปเพลงทั่วไป
ข้อดีของเทปแม่เหล็ก
1.สะดวกต่อการโยกย้ายข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เช่นการส่งข้อมูลจากสำนักงานใหญ่ไปยังหน่วยงานสาขาที่อยู่ต่างจังหวัด เทปนี้มีความจะมากจึงเหมาะกับการถ่ายเทข้อมูลซึ่งมีปริมาณมาก อีกทั้งยังมีความปลอดภัยและสะดวกในการพกพามากกว่าสื่อแบบอื่น
2.เหมาะกับงานสำรองข้อมูล ในหน่วยงาน
3.เหมาะกับงานที่มีการเข้าถึงข้อมูลแบบ Sequential file หรือแบบเรียงลำดับข้อมูล โดยจะมีการทำงานเกือบทั้งแฟ้มข้อมูลในเทปนั้นๆ
4.เรคอร์ด มีความยาวได้ไม่จำกัด
5.สามารถนำม้วนเทปที่มีการบันทึกไปแล้ว กลับมาใช้งานได้อีก
ข้อเสียของเทปแม่เหล็ก
1.ไม่สามารถมองเห็นข้อมูลที่บันทึกได้
2.การเข้าถึงข้อมูลต้องเป็นแบบลำดับ นั่นคือ การค้นหาข้อมูลที่ต้องการ ต้องค้นหาตั้งแต่ต้นเทปไปจนถึงปลายเทป ซึ่งจะต้องเสียเวลาพอสมควร
จานแม่เหล็ก (Magnetic Dick)
สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่
1.จานแม่เหล็กแบบอ่อน (Soft Disk or Floppy disks) จานแม่เหล็กชนิดนี้ นิยมใช้มากที่สุดในเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ บางครั้งเรียกว่า จานอ่อนชนิดนี้ นิยมใช้มากที่สุดในเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ บางครั้งเรียกว่า จานอ่อน เฟล็สซิเบิล ดิสก์ หรืออีกชื่อหนึ่งที่ใช้กันทั่วไป คือ จานแม่เหล็กเล็ก (Disdkette) หรือฟลอปปี้ดิสก์ (Floppy disks) ซึ่งจะบรรจุเก็บไว้ในซองพลาสติกอย่างถาวรมิดชิดเพื่อเป็นการป้องกัน ซึ่งมีการแบ่งเนื้อที่ดิสก์ออกเป็นวงๆ รอบจุดศูนย์กลางของแผ่นดิสก์ แต่ละวงจะเรียกว่า Track และในแต่ละแผ่นก็จะมีหลายๆ วง หรือหลายๆ Track โดยตัวอุปกรณ์ขับข้อมูล (Disk Drive) จะจัดเก็บข้อมูลตามแนวของเส้นรอบวง หรือ Track และในแต่ละ Track ก็จะแบ่งออกเป็น Sector ซึ่งในการอ่านข้อมูลแต่ละครั้งจะกระทำทีละ 1 Sector เสมอ
บนเนื้อที่แผ่นดิสก์แต่ละแผ่นจะมีหมายเลข Track และ Sector ประจำอยู่ ตัวเลขนี้ จะเป็นตัวชี้ตำแหน่งที่แน่นอนของข้อมูลที่จะอ่านหรือเขียนลงบนแผ่นดิสก์ สำหรับ Sector จะใช้เทคนิคในการกำหนดตำแหน่ง ซึ่งก็จะทำได้สองวิธี โดยอาศัยการเจาะรู เป็นตัวระบุบอกตำแหน่งของ Sector แผ่นฟลอปปี้ดิสก์นี้ นอกจากจะแบ่งได้ตามขนาดของความจุแล้ว ยังขึ้นกับจำนวนด้านในการใช้งาน ว่าเป็นด้านเดียวหรือ 2 ด้าน ถ้าเป็นด้านเดียว หมายถึง เครื่องมีหัวอ่าน 1 หัว ใช้งานได้หน้าเดียว ซึ่งพบในเครื่อง IBM PC ที่ใช้ Doc 1.0 แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนมารใช้แบบ 2 ด้าน ซึ่งเครื่องจะมีหัวอ่าน 2 หัวจะใช้งานได้ 2 ด้าน ใช้กับ DOS 1.1 ขึ้นไป แต่ก็ยังสามารถอ่านและบันทึกข้อมูลบนแผ่นดิสก์แบบหน้าเดียวได้ด้วย
ปัจจุบัน Disk drive แบบนี้ สามารถเก็บข้อมูลลงบนแผ่นฟลอปปี้ดิสก์ได้ประมาณ 320 หรือ 360 K แล้วแต่การฟอร์แมตแผ่นดิสก์ที่ใช้กับ Drive แบบนี้ เมื่อทาง IBM ได้ออกเครื่องคอมพิวเตอร์รุ่น AT ออกมาก็ได้มีการผลิต Disk Drive ชนิดใหม่ออกมาคือ Disk Drive แบบความจะข้อมูลสูง (High Capacity Drive) สามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 1.2 M โดยใช้แผ่นฟลอปปี้ดิสก์แบบ High Density
ข้อดีของการใช้แผ่นฟลอปปี้ดิสก์
1.ราคาถูก
2.การใช้งานง่าย และสะดวก
3.สามารถบันทึกข้อมูลซ้ำได้หลายครั้ง
ข้อเสียของการใช้แผ่นฟลอปปี้ดิสก์
1.จะหักหรืองอได้ง่ายถ้าวางของหนักๆ ทับ แม้กระทั่งการใช้ยางรัดหรือคลิปหนีบ
2.การเขียนหรือลบข้อมูลบนซองฟล็อปปี้ดิสก์ อาจเป็นการทำลายข้อมูลในแผ่นได้
3.อาจหงิกงอได้ถ้าวางในที่ที่มีอุณหภูมิสูงเกินไป
4.ข้อมูลอาจสูญหาย หรือเสียได้ถ้าตัวแผ่นโดนฝุ่น น้ำ หรือมีการจับลูบเนื้อของแผ่น
5.ข้อมูลอาจสูญหาย หรือผิดเพี้ยนได้ ถ้านำแวางในที่ที่มีสนามแม่เหล็ก
2.จานแม่เหล็กแบบแข็ง (Magnetic Disk or Hard Disk) เครื่องมินิคอมพิวเตอร์หรือใหญ่กว่า จำเป็นต้องมีสื่อบันทึกข้อมูลที่สามารถบันทึกข้อมูลได้มากกว่าฟล็อปปี้ดิสก์ จานบันทึกข้อมูลชนิดนี้เรียกว่า ฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk) หรือจานแข็ง ซึ่งสามารถบันทึกได้เป็นจำนวนมาก สารที่นำมาผลิตเป็นดิสก์นั้นเป็นสารจำพวกโลหะหรือแก้วบางชนิด ซึ่งไม่สามารถงอไปงอมาได้เหมือนกับฟลอปปี้ดิสก์ ในระบบไมโครคอมพิวเตอร์หลายๆ ระบบ ได้ขยายขีดความสามารถ จนสามารถใช้หน่วยความจำเป็นฮาร์ดดิสก์นี้ได้
โครงสร้างของฮาร์ดดิสก์
ประกอบด้วยตัวจานหรือดิสก์ ซึ่งเป็นแผ่นกลมแบบหลายๆ แผ่น วางซ้อนกันอยู่ บางจานถูกเรียงซ้อนกันเรียกว่า ชุดจานแม่เหล็ก โดยอาจมีจำนวน แผน 3-11 แผ่น แต่จะไม่เรียกว่าดิสก์ จะเรียกว่าแพลตเตอร์ (Platter) แทน โดยที่แต่ละแพลตเตอร์จะสามารถเก็บข้อมูลได้ทั้งสองด้าน เหมือนกับฟลอปปี้ดิสก์แบบสองหน้า และเนื่องจากฮาร์ดดิสก์มีแพลตเตอร์หลายๆ แผ่นซ้อนกันอยู่ ดังนั้น ฮาร์ดดิสก์ตัวหนึ่งๆ จะมีหัวอ่านเขียนเท่ากับจำนวนแพลตเตอร์พอดี และหัวอ่านข้อมูลลงบนฮาร์ดดิสก์ ก็จะมีเพียงหัวอ่าน 1 หัวเท่านั้นที่จะทำการอ่านหรือเขียนข้อมูล
ลักษณะที่แตกต่างที่สำคัญอย่างหนึ่งระหว่างฮาร์ดดิสก์ และฟอปปี้ดิสก์คือในตัวฮาร์ดดิสก์ นอกจากจะประกอบไปด้วยส่วนที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลแล้ว ยังประกอบด้วยส่วนที่เป็น Firve ทำหน้าที่อ่าน เขียนข้อมูลด้วย แต่ฟลอปปี้ดิสก์จะต้องมี Disk Dive แยกต่างหาก จึงจะสามารถทำงานได้ ซึ่งต่างกับฟลอปปี้ดิสก์ไดรฟ์ ที่จะต้องรอให้มีการอ่าน เขียนข้อมูลเสียก่อน จึงจะมีการหมุนหาตำแหน่งของข้อมูล นอกจากนี้ถ้ามีการขยับเครื่องคอมพิวเตอร์ อาจทำให้หัวอ่าน เขียนไปกระทบกับแพลตเตอร์ได้ ซึ่งจะทำให้ข้อมูลที่เก็บอยู่ ณ ตำแหน่งนั้น ถูกทำลายลงไป
ความจุฮาร์ดดิสก์ = จำนวน Cylinder x จำนวน Sector x จำนวนด้าน x จำนวน byte
ใน 1 Sector
= 305 Cylinder x 17 Sector x 4 Side x 512 byte
= 10,370 k
= 10 M
ซีดีรอม (CD-ROM)
ย่อมาจาก Compact Disk-Read Only Menory เป็นเทคโนโลยีใหม่ ที่เพิ่มเกิดขึ้นได้ไม่กี่ปีมานี้ สามารถนำมาใช้กับเครื่อง PC ได้ มีความจุสูง สามารถบันทึกข้อมูลร่วมกันได้หลายชนิด และการค้นหาข้อมูลสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้เวลาเพียง 1-2 วินาทีเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีความทนทานเป็นอย่างมาก ใช้ได้นาน 10-20 ปี ลักษณะจะไม่ต่างจากแผ่นคอมแพคดิสก์ (แผ่น CD) ที่ใช้ฟังเพล หรือเลเซอร์ดิสก์ก็ใช้ดูวีดีโอ สามารถเรียกได้อีกอย่างว่า เลเซอร์ดิสก์ (Laser Disk) เนื่องจากจะใช้แสงเลเซอร์ในการอ่าน หรือบันทึกข้อมูลลงบนแผ่น จึงจัดเป็นสื่อประเภทออปติคัล (Optical Media) ในช่วงแรกๆ ที่มีการผลิต CD-ROM ออกมา นิยมใช้ในการเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ เช่นงานของห้องสมุด ที่ต้องเก็บข้อมูลเป็นปริมาณมาก แต่ต่อมาได้เริ่มนำมาใช้ในการเก็บโปรแกรมสำเร็จรูปต่างๆ ทั้งในระดับเครื่องพีซีและเวิร์กสเตชันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเครื่องพวกเวิร์กสเตชั่น CD-ROM จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 12 เซนติเมตร มีรูกลมตรงกลางแผ่นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 15 มิลลิเมตร และตัวแผ่นหนา 1.2 มิลลิเมตร น้ำหนักเพียง 0.7 ออนซ์ ชั้นในสุดที่ใช้บันทึกข้อมูล ทำด้วยพลาสติกโพลีคาร์บอเนต เพื่อป้องกันคราบสกปรกต่างๆ ดังนั้น ข้อมูลจะไม่สูญหายหรือถูกทำลายได้ง่ายๆ
ในแผ่น CD-ROM นั้น จะมีการแบ่งเป็น Track และ Sector เหมือนกับดิสก์โดยใน CD-ROM หนึ่งแผ่น จะแบ่งเป็น 276,000 Sector มี Sector ละ 99 Track การจัดแบ่งเนื้อที่ในแต่ละ Sector และแต่ละ Track จะมีลักษณะเรียงเป็นวงซ้อนกันไปเรื่อยๆ แบบร่องแผ่นเสียงร่องเดียว ซึ่งมีความเร็วกว่ารอบนอก โดยรอบนอกมีความเร็ว 200 รอบต่อนาที โดยหมุนแบบทวนเข็มนาฬิกา และมีความเร็วในการหมุนขณะส่งข้อมูล 150 Kbyte ต่อวินาที
การบันทึกข้อมูลนั้น จะใช้แสงเลเซอร์จากหัวบันทึกของเครื่องบันทึกข้อมูลส่องลงบนพื้นผิวที่ต้องการบันทึก พื้นผิวตรงจุดนั้นก็จะเป็นหลุมเล็กๆ ซึ่งจะเก็บค่าเป็น 1 และส่วนที่ไม่ต้องการบันทึกก็จะมีพื้นผิวที่เรียบ ซึ่งจะเก็บเป็นค่า 0 การสร้างหลุมเพื่อบันทึกข้อมูลนี้ ทำให้ CD-ROM เป็นสื่อที่เหมาะในการบันทึกข้อมูลเพียงครั้งเดียว ดังนั้น ข้อมูลใน CD-ROM จะไม่สามารถลบหรือเปลี่ยนแปลงได้ แต่จะสามารถเรียกข้อมูลดูได้หลายครั้ง ซึ่งเรียกลักษณะการทำงานอย่างนี้ว่า WORM (Write Once Read Many)
สำหรับการอ่านข้อมูลนั้น ก็จะใช้แสงเลเซอร์จากหัวอ่านภายในเครื่องอ่านที่มีกำลังอ่อนกว่า ในการสแกนพื้นผิวว่าเป็นหลุมหรือไม่ ถ้าเป็นก็จะถูกอ่านที่มีกำลังอ่อนกว่า ในการสแกนพื้นผิวว่าเป็นหลุมหรือไม่ ถ้าเป็นก็จะถูกเครื่องนำไปถอดสัญญาณรหัสจากภาษาเครื่องออกมาเป็นข้อมูลที่บันทึกไว้แต่ละประเภท ในแผ่น CD-ROM หนึ่งแผ่น จะสามารถจะข้อมูลได้สูงมาก
หน่วยนำข้อมูลเข้า (Input Unit)
เป็นหน่วยที่ทำหน้าที่รับข้อมูล อันได้แก่ โปรแกรมหรือชุดของคำสั่งที่เขียนสั่งงานให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามขั้นตอน และข้อมูลที่ต้องใส่เข้าไปพร้อมกับโปรแกรม เพื่อส่งไปให้หน่วยประมวลผลกลางทำการประมวลผล และให้ได้ผลลัพธ์ตามที่เราต้องการ อุปกรณ์ที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลเข้า จะมีดังต่อไปนี้
- เทอร์มินัล (Terminal) ประกอบด้วยจอภาพและคีย์บอร์ด เป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในการที่จะติดต่อสั่งงานคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้สามารถพิมพ์คำสั่งต่างๆ ลงไปโดยผ่านทางคีบอร์ด ซึ่งข้อความที่พิมพ์ก็จะปรากฎทางหน้าจอ ข้อมูลจะยังไม่ผ่านเข้าไปเก็บในเครื่องคอมพิวเตอร์จนกว่าผู้ป้อนข้อมูลจะกดแป้น Enter หรือ Return จึงจะรับเข้าไปเก็บในเครื่องคอมพิวเตอร์
- เมาส์ (Mouse) เป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กเหมาะมือที่ใช้คอบคุมเคอร์เซอร์ (Cursor) หรือตัวชี้ที่ที่ปรากฏอยู่บนจอ หรือการเลือกของเมนูที่ต้องการ โดยการกดปุ่มบนตัวเมาส์แทนการใช้คีย์บอร์ด การใช้งานก็จะเลื่อนเมาส์ไปตามพื้นแผ่นเรียบ เช่นพื้นโต๊ะหรือแผ่นรองเมาส์ ระบบคอมพิวเตอร์จะทำงานสัมพันธ์กับการหมุนของลูกกลิ้งใต้ตัวเมาส์ จึงทราบว่าจะเลื่อนตัวชี้บนจอภาพไปที่ใด ก่อนที่จะมีการใช้งานเมาส์ ก็จะต้องมีการต่อเมาส์เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ เมื่อต่อเรียบร้อยแล้ว ก็จำเป็นที่จะต้องโหลดโปรแกรมไดรเวอร์ของเมาส์ ซึ่งส่วนมากจะมีมาพร้อมกับตัวเมาส์จาะบริษัทที่ขาย ก็จะทำให้สามารถใช้เมาส์ติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ได้
- จอแบบสัมผัส (Touch- sensitive Screens) เป็นอุปกรณ์นำเข้าข้อมูลที่จะต้องใช้นิ้วมือไปสัมผัสได้มีการใช้วิทยาการต่างๆ กัน 4 วิทยาการคือเยื่อเชิงตัวนำ จานเก็บประจุ คลื่นจากคุณสมบัติของเสียง และลำแสงรังสีอินฟาเรด ซึ่งจอที่ใช้วิทยาการ 2 วิทยาการหลังนั้น จะละเอียดมากที่สุดและแพงที่สุด อย่างไรก็ดี ไม่มีวิทยาการหนึ่งวิทยาการใด เหนือกว่าวิทยาการอื่น แต่ละวิทยาการก็มีคุณประโยชน์ของมันเอง
1.จอที่ใช้เยื่อเชิงตัวนำ ประกอบด้วยสองส่วน คือ เยื่อใส ซึ่งผิวในเป็นสารตัวนำ และแก้วจอซีอาร์ที่หุ้มด้วยเยื่อโปร่งแสง ซึ่งทำด้วยสารที่มีความต้านทาน เมื่อมีแรงดกบนจอไปที่เยื่อตัวนำ จะสัมผัสแผ่นความต้านทานในแต่ละจุด ดังนั้น จะเกิดสํกดาไฟฟ้าในแผ่นความต้านทานทั้งแนวดิ่งและแนวราบซึ่งสามารถวัดศักย์ไฟฟ้าได้ค่าสเกล (Scale) ในวงจะถูกจัดค่าออกมาได้จะเปลี่ยนเป็นตัวเลขคู่ลำดับที่เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถอ่านได้
2.จอจานประจุ วิทยาการนี้จะใช้แผ่นแก้ว ซึ่งด้านหนึ่งฉาบด้วยโลหะโปร่งแสง บางมาก เป็นส่วนซึ่งใช้เป็นที่สะสมประจุ ตัวแผ่นใสนี้จะถูกติดตั้งหน้าจอซีอาร์ที่เป็นส่วนๆ อยู่ด้านหน้า เมื่อสัมผัสส่วนหนึ่งนี้ ด้วยนิ่งหรือสารตัวนำอื่น จะเปลี่ยนแปลงประจุที่เก็บไว้เป็นการสร้างศักดาไฟฟ้า ซึ่งส่วนที่สัมผัสนี้ จะถูกวัดออกมาเป็นรหัสตัวเลขและถูกอ่านโดยเครื่องคอมพิวเตอร์
3.จอที่ใช้คลื่นคุณสมบัติของเสียง วิทยาการนี้ทำงานในหลักการเดียวกับเรดาร์หรือโซน่าร์ สารไวต่อคลื่นจะให้ไฟฟ้าออกมารในแนวระดับ และแนวดิ่งของจอที่เป็นคลื่น ที่มีคุณสมบัติของเสียงสลับระหว่างแนวราบ กับแนวดิ่งจากหน้าจอ เมื่อคลื่นเหล่านี้ ถูกนิ้วหรือวัตถุอื่นใด จะสะท้อนกลับไปยังตัวรับคลื่น-แปลงคลื่น การวัดนี้จะเกิดจากระยะนี้ยาวเท่าใด โดยใช้เวลาที่เกิดระหว่างส่งคลื่นและสะท้อนกลับ เข้ามาทำให้ได้ตำแหน่งวัตถุที่สะท้อนคลื่นนั้น
4.จอชนิดที่ใช้รังสีอินฟราเรด เป็นวิทยการที่เกิดจาก Light Emit Diodes (LEDs) จะส่งรังสีอินฟราเรดออกมาในแนวราบและแนวดิ่ง บนด้านตรงข้ามของจอ จะมี infrared detector (phototransistors : ตัวเปลี่ยนแสงเป็นกระแสไฟฟ้า) อยู่ในแนวดิ่งและแนวราบ สัญญาณสลับของกระแสไฟฟ้าในวงจร (Electronic Circuits Pulse) (สัญญาณสลับนี้ คือ คลื่นรูปสี่เหลี่ยมเมื่อมีกระแสไฟฟ้ามาจะเป็นคลื่นสูง เมื่อไฟดับคลื่นจะเป็นเส้นในแนวราบ) จาก LEDs นี้ ได้รับการสนองตอบจาก detector ซึ่งสามารถวัดได้เมื่อนิ้วมือสัมผัสจอภาพซึ่งตำแหน่งนั้น สามารถหาได้จากคลื่นและการขัดจังหวะคลื่นของนิ้วมือ
ข้อดี ของการใช้จอสัมผัส ก็คือ สามารถใช้งานได้ง่าย โดยการใช้นิ้วมือสั่งงานได้โดยตรง ไม่ต้องลากมือไปมาเหมือนเมาส์
ข้อเสีย ก็คือตัวเครื่องจะมีน้ำหนักและใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น ความเร็วในการทำงานจะค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับเมาส์ และจะใช้งานละเอียดประเภทการวาดภาพไม่ได้ นอกจากนี้ การใช้นิ้วสัมผัสจอเป็นเวลานานตามจุดต่างๆ อาจทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าได้ การใช้งานจอสัมผัส ก็นับว่าเป็นวิธีที่ง่ายสำหรับผู้เริ่มต้นใช้งานคอมพิวเตอร์
ปัจจุบันได้มีการนำจอสัมผัสนี้ ไปใช้งานร่วมกันสื่อแบบผสมที่เรียกว่า มัลติมีเดีย (Multimedia) โดยผู้ใช้เพียงแต่ใช้นิ้วมือจิ้ม เลือกหัวข้อที่สนใจบนหน้าจอจากนั้น เครื่องก็จะแสดงภาพและเสียงของหัวข้อนั้นออกมาให้ดู
- จอยสติค (Joystick) เป็นอุปกรณ์นำเข้าข้อมูลประเภทกราฟฟิค มีลักษณะเป็นก้านหรือคานโผล่จากด้านบนของกล่อง สามารถบิดไปในทิศทางต่างๆ ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ควบคุม หน้าที่ของจอย จะให้สัญญาณทางไฟฟ้า 2 สัญญาณอิสระกัน เครื่องคอมพิวเตอร์ก็จะรับรู้สัญญาณเหล่านี้ และซอฟต์แวร์จะใช้สัญญาณเหล่านี้ มาเขียนภาพออกไป ฉะนั้น โดยธรรมชาติแล้วจอยติคไม่ใช่อุปกรณ์ที่ให้ข้อมูลรายละเอียดได้มาก แต่ได้ผลสะท้อนจากภาพบนจอ ทำให้ผู้ควบคุมสามารถจับทิศทางของเคอร์เซอร์ได้ละเอียด โดยใช้ความพยายามไม่มาก
- ปากกาแสง (Light Pens) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงานทางด้านกราฟฟิค มีรูปร่างเหมือนปากกา และมีแสงอยู่ตอนปลายใช้จิ้มเข้าไปที่จอภาพ เพื่อเลือกเมนูที่ต้องการ หรือวาดภาพก็ได้ เราสามารถป้อนข้อมูลเข้าไปสำหรับโปรแกรมที่อยู่ในหน่วยความจำในขณะนั้น โดยหน้าจออาจมีเมนูรายการให้เลือก เราก็สามารถใช้ปากกาแสงนี้จิ้มไปที่รายการที่เราต้องการ ซึ่งเป็นข้อมูลเข้า เพื่อให้เครื่องรับข้อมูลคำสั่ง เพื่อทำงานตามที่ต้องการ ปากกาแสงนี้ นิยมใช้มากในงานออกแบบที่เรียกว่า Computer-aided design (CAD)
- อุปกรณ์โอซีอาร์ (ocr Optical Character Recogniton) ซึ่งสามารถแบ่งประเภทของอุปกรณ์โอซีอาร์ ตามลักษณะของข้อมูลที่จะนำเข้าได้ดังนี้
1.โอเอ็มอาร์ (Optical Mark Recders OMR) เครื่องนี้สามารถอ่านรอยเครื่องหมายที่เกิดจากดินสอในกระดาษที่มีรูปแบบเฉพาะได้ ซึ่งในการตรวจข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ข้อมูลที่ได้จากกระดาษคำตอบจะถูกป้อนเป็นข้อมูลเข้า สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์โดยผ่านเครื่อง OMR นี้ ข้อมูลจะถูกอ่านเข้าไปเก็บโดยผ่าน OMR โดยการส่องไฟผ่านกระดาษที่จะอ่าน และจะสะท้อนแสงที่เกิดจากเครื่องหมายที่ทำขึ้นโดยดินสอ รอยดินสอจะเกิดขึ้นจากดินสอที่มีตะกั่วอ่อน (ปริมาณถ่านกราไฟต์สูง) จึงจะสะท้อนแสงได้
2. Wand Reader จะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้มือควบคุม โดยจะนำอุปกรณ์นี้ส่องลำแสงไปยังตัวอักษรแบบพิเศษ เพื่อทำการแปลงตัวอักษรนั้นให้เป็นสัญญาณไฟฟ้าและส่งไปให้คอมพิวเตอร์ประมวลผล
3. Hand written Character Device เป็นอุปกรณ์ที่สามารถอ่านข้อมูลที่เขียนด้วยลายมือได้ ซึ่งอุปกรณ์ชนิดนี้ จะช่วยลดขั้นตอนในการคีย์ (Key in) เข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ ลายมือที่เขียนจะต้องมีรูแปบบที่อ่านงานไม่กำกวม
4. Bar Code Reader Bar Code เป็นสัญลักษณ์หรือาหัสที่มีรูปแบบเป็นแท่งเรียงกันเป็นแถวในแนวตั้ง ซึ่งสามารถพบเห็นได้ทั่วไปบนผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่วางขายอยู่ตามห้างสรรพสินค้า รหัสรูปแท่งนี้ จะสามารถอ่านได้โดยใช้อุปกรณ์ที่เรียกว่า Bar Code Reader ซึ่งเป็นอุปกรณ์สแกนเนอร์ (Scanner) ที่อ่านรหัสแท่งโดยใช้หลักการสะท้อนของแสง
หน่วยนำข้อมูลออก (Output Unit)
เป็นหน่วยที่ทำหน้าที่ในการแสดงเอกสารแสดงผลลัพธ์ และรายงานต่างๆ หลังจากที่คอมพิวเตอร์ได้ทำการประมวลผลแล้ว โดยผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลจะถูกต้องเก็บอยู่ในหน่วยความจำหลัก อุปกรณ์ที่ใช้นำข้อมูลออกนี้ จะเรียกว่า อุปกรณ์แสดงผล ซึ่งสามารถแบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้
1.จอภาพ (Monitor)
เป็นอุปกรณ์ที่แสดงข้อความที่มีการนำเข้าข้อมูลแล้ว ยังเป็นอุปกรณ์แสดงผลอย่างหนึ่งในเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำหน้าที่ในการแสดงข้อความหรือผลจากการทำงานต่างๆ โดยทั่วไปจอภาพจะเป็นส่วนประกอบหนึ่งที่แยกออกมาจากตัวเครื่องอย่างชัดเจน หลักการในการแสดงภาพหรือข้อมูลบนจอ จะคล้ายกับการทำงานของจอโทรทัศน์ คือ คอมพิวเตอร์จะแปลงสัญญาณให้วีดีโอแสดงผลยิงลำแสงอิเล็กตรอนไปยังพื้นผิวของจอภาพ ซึ่งฉาบไว้ด้วย ฟอสฟอรัส
2.เครื่องพิมพ์ (Printer)
เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดงผลลัพธ์ที่แพร่หลายมากที่สุด โดยจะพิมพ์ผลลงบนกระดาษ ซึ่งสามารถเก็บผลลัพธ์เอาไว้ดูได้นานๆ ซึ่งจะเรียกผลลัพธ์ที่พิมพ์ประเภทนี้ว่า Hard Copy เครื่องพิมพ์จะมีหลายประเภทแยกออกตามวิธีการพิมพ์ ความคมชัดของตัวอักษร และความเร็วในการพิมพ์ สามารถแบ่งประเภทของเครื่องพิมพ์ออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ได้แก่
1. Serial Printer
เป็นเครื่องพิมพ์ที่นิยมใช้กันมากในเครื่องระดับไมโครคอมพิวเตอร์ จะมีการพิมพ์ทีละตัวอักษร ขณะที่หัวพิมพ์วิ่งไปตามแนวนอนของกระดาษ โดยจะมีความเร็วในการพิมพ์อยู่ในช่วง 40-450 cps (characters per second) ซึ่งสามารถพิมพ์ได้ทั้งสองทิศทางไม่ว่าหัวพิมพ์จะเคลื่อนไปทางซ้ายหรือทางขวาของกระดาษ เครื่องพิมพ์นี้ยังสามารถแบ่งได้อีกเป็น
1.1 เครื่องพิมพ์ชนิดพิมพ์กระทบ เครื่องพิมพ์ประเภทนี้ จะมีการพิมพ์ สัมผัสกระดาษ เช่นเดียวกับเครื่องพิมพ์ดีด ซึ่งกลไกในการทำงานของเครื่องพิมพ์นี้จะเป็นวิทยาการที่ซับซ้อนมาก
1.2 เครื่องพิมพ์ชนิดพิมพ์ไม่กระทบ เครื่องพิมพ์แบบนี้ จะมีการทำงานต่างจากเครื่องพิมพ์ชนิดพิมพ์กระทบ โดยจะพิมพ์ไม่สัมผัสถูกผิวกระดาษโดยตรง หากแต่ใช้แสงเลเซอร์ ที่มีศักยภาพต่ำหรือใช้ความร้อน หรือใช้วิทยาการทางอิเล็กโตสแตติค มาใช้พิมพ์ตัวหนังสือแทน
2. Line Printer จัดอยู่ในประเภทเครื่องพิมพ์แบบกระทบ สามารถพิมพ์ได้ทีละบรรทัดขณะใดขณะหนึ่ง โดยมีความเร็วอยู่ในช่วง 1000-5000 lpm (line per minute) สามารถแบ่งเครื่องพิมพ์ชนิดนี้ออกได้อีกเป็น 3 แบบด้วยกันคือ
2.1 The Band Printer เป็นเครื่องพิมพ์ที่ใช้การวิ่งของตัวอักษรที่ติดอยู่บนแถบคาด (band) ที่เป็นโลหะ ซึ่งตัวอักษรนี้จะวิ่งไปตามแนวนอนของกระดาษและผ้าหมึกไปที่ตัวอักษรนั้น ก็จะทำให้ตัวอักษร ปรากฏอยู่บนกระดาษตามต้องการ
2.2 The Chain Printer เป็นเครื่องพิมพ์ที่มีหลักการทำงานคล้าย Band Printer แต่ตัวอักษรจะปรากฏอยู่บนโซ่แทนแถบคาด
2.3 The Drum Printer จะมีตัวอักษรเรียงกันอยู่เป็นแถวๆ แต่ละแถวก็จะมีตัวอักษรที่เหมือนกัน อยู่บน Drum ซึ่ง Drum นี้ จะหมุนอยู่ตลอดเวลา เมื่อถึงจังหวะจะพิมพ์ตัวอักษรใด หัวพิมพ์ก็จะเคาะผ่านกระดาษและผ้าหมึกทันที
3. Page Printer เป็นเครื่องพิมพ์แบบไม่กระทบ โดยส่วนมากจะใช้เทคโนโลยีของเลเซอร์ ตัวอย่างเครื่องพิมพ์แบบนี้ ได้แก่
3.1 เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์ (Laser Printer) เครื่องพิมพ์แบบนี้เป็นเครื่องพิมพ์ที่มีความเร็วสุด เมื่อเทียบกับเครื่องพิมพ์ชนิดอื่น และมีแนวโน้มว่าจะเป็นมาตรฐานของเครื่องพิมพ์สำหรับเครื่องซีพีในอนาคตอีกด้วย เครื่องพิมพ์เลเซอร์นี้ เป็นเครื่องพิมพ์ที่มีความคมชัดสวยงามมากกว่า เครื่องพิมพ์ชนิดจุด สามารถพิมพ์ภาพและพิมพ์ตัวอักษรไทย-อังกฤษ ได้หลายขนาดและหลายแบบ ความคมชัดของเครื่องพิมพ์เลเซอร์นี้ ขึ้นอยู่กับความละเอียดของจุดภาพ การทำงานของเครื่องพิมพ์เลเซอร์ จะเปลี่ยนตัวอักษรและรูปภาพกราฟิคจากเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เป็นภาพที่มีความละเอียดสูงซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเครื่องถ่ายเอกสาร
3.พลอตเตอร์ (Plotter)
เป็นอุปกรณ์การแสดงผลอีกแบบ ซึ่งเนื่องจากการแสดงรูปกราฟิคทางเครื่องพิมพ์จะมีข้อจำกัดทางด้านคุณภาพและขนาดของภาพ ดังนั้น จึงได้มีการผลิตพลอตเตอร์ขึ้นมา เพื่อใช้ในงานที่มีการสร้างรูปภาพทาง กราฟิค เช่นการออกแบบ แผนผัง แผนที่และชาร์ดต่างๆ พลอตเตอร์ยัง สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ดังนี้
1.พลอตเตอ่ร์แบบทรงกระบอก (Drum Plotter) จะมีปากกามากกว่า 1 ด้ามที่มีหลายสี หลายขนาด ผลัดกันเคลื่อนที่ไปมาบนกระดาษ ภายใต้การควบคุมของเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อสร้างภาพขึ้นมา
2.พลอตเตอร์แบบระนาบ (Flatbed Plotter) จะมีปากกามากกว่า 1 ด้ามเช่นกัน แต่การเคลื่อนที่จะมีแต่ปากกาเท่านั่น ที่มีการเคลื่อนที่ทั้งสองแกน ในขณะที่กระดาษผลลัพธ์จะอยู่กับที่ พลอตเตอร์แบบนี้ มักมีขนาดไม่ใหญ่นัก ตั้งบนโต๊ะคอมพิวเตอร์ ได้ ภาพที่วาดจึงไม่ใหญ่มาก เช่น รูปกราฟต่างๆ หรือรายงานๆ
3.อิเล็กโตรสแตติคพลอตเตอร์ (Electrostatic Plotter) เป็นพลอตเตอร์ที่ใช้ในการสร้างภาพอย่างคร่าวๆ ไม่ละเอียดมกนัก ใช้สำหรับตรวจสอบความถูกต้องของงาน เมื่อเรียบร้อยดีแล้ว จึงส่งให้พลอดเตอร์ 2 แบบแรกสร้างภาพผลลัพธ์ที่มีความละเอียดสูงต่อไป